สรุปปรัชญาฮั่นเฟ่ยจื้อ
สรุปใจคความสำคัญของปรัชญาฮั่นเฟ่ยจื้อก็คือ
เขาต้องการให้พลเมืองมีความสุข สังคมเป็นระเบียบ ประเทศมั่นคงและมั่งคั่ง
การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้รัฐจะต้องดำเนินการต่อไปนี้
๑.
แต่งตั้งให้มีฮ่องเต้หรือกษัตริย์เป็นผู้นำของรัฐ มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครอง
มีหน้าที่ออกกฎหมาย กำหนดคุณและโทษไว้ให้ชัด
และคอยดูแลให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
๒.
ผู้นำของรัฐจะต้องแต่งตั้งบุคคลอื่นๆให้ดำรงตำแหน่งต่างๆลดหลั่นกันไปตามลำดับ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์
ทุกตำแหน่งต้องมีอำนาจและหน้าที่อยู่ในตัว ใครทำไม่ได้ตามที่กำหนดไว้ให้ปลดออก
ตั้งคนอื่นแทน
๓. ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการปกครองประเทศ
ใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐานของการตัดสินปัญหาทุกอย่าง ให้เลิกชนชั้นสูงชั้นต่ำ
ทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมาย
๔. รณรงค์ให้ชาวเมืองเป็นชาวไร่ ชาวนา
และทหาร เพราะชนชาวไร่ชาวนาสามารถหารายได้เข้ารัฐได้ ทำให้ประเทศมั่งคั่ง
ส่วนทหารก็จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงไม่ถูกรุกราน ทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพสงบสุข
บุคคลทั้ง ๒ ประเภทจึงได้รับการยกย่องมากว่าเป็นกำลังสำคัญของชาติ
เป็นพลเมืองที่มีค่าของประเทศ
ปรัชญาของฮั่นเฟ่ยจื้อเป็นที่ชอบใจของคนจีนยุคใหม่สมัยหลังสงครามระหว่างแคว้นต่างๆเพราะคนเบื่อหน่ายสงคราม
เห็นความไม่ดีของการแบ่งแยกชนชั้น
และเมื่อมาพบแนวความคิดใหม่ที่ใช้กฎหมายแทนจารีตประเพณีและคุณธรรม ทำให้เกิดความหวังใหม่ว่า
กฎหมายคงจะช่วยได้
คงจะไม่ล้มเหลวอย่างการใช้ระบบจารีตประเพณีและคุณธรรมดังที่ผ่านมา
รัฐจิ๋นเป็นรัฐแรกที่นำปรัชญานิตินิยมไปใช้ และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ทำให้รัฐจิ๋นเป็นเลิศในทางกสิกรรมและทางทหาร
จนรัฐจิ๋นซึ่งแม้เป็นรัฐเล็กๆแต่ก็สามารถกำจัดแคว้นปรปักษ์ได้หมด
จนกระทั่งสามารถรวบรวมแคว้นทั้งหมดเข้าเป็นอาณาจักรประเทศจีนประเทศเดียวกันได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน
ฮั่นเฟ่ยจื้อได้ปฏิวัติปรัชญาจีนที่ผ่านมาโดยใช้กฎหมายแทนที่จารีตประเพณีและคุณธรรม
เป็นการนำเอาทฤษฎีใหม่มาใช้แทนทฤษฎีเก่าซึ่งยึดถือกันมานาน และจากอิทธิพลของปรัชญาฮั่นเฟ่ยจื้อ
ทำให้คนจีนยุคถัดๆมาเห็นความสำคัญของกฎหมาย
จึงหันมาใช้กฎหมายเข้าแก้ปัญหาต่างๆจนเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อมา
จนชนชั้นกรรมาชีพเป็นพลังสำคัญของประเทศ
กล่าวกันว่าปรัชญาของฮั่นเฟ่ยจื้อถูกกับอัธยาศัยใจคอของคนจีนในภาคเหนือ
ซึ่งมีลักษณะชอบความแข็งกร้าว ทำนองเดียวกับปรัชญาธรรมชาติของเหลาจื้อและจวงจื้อเป็นที่โปรดปรานของคนจีนในภาคใต้
และปรัชญามนุษยนิยมของขงจื้อและสานุศิษย์เป็นที่ต้องใจของคนจีนในภาคกลาง
วิจารณ์ปรัชญาฮั่นเฟ่ยจื้อ
ปรัชญาของฮั่นเฟ่ยจื้อถึงแม้จะเป็นความจริง แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
ถึงแม้จะเป็นความดี ก็เป็นความดีส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ความดีทั้งหมด
ปรัชญาของฮั่นเฟ่ยจื้อจึงเหมาะกับบางยุคบางสมัยโดยเฉพาะก็สมัยที่บ้านเมืองกำลังทำสงครามหรือเกิดความวุ่นวายไร้ระเบียบ
ก็จำเป็นต้องใช้อำนาจและกฎหมายเพื่อความเป็นเอกภาพและความเฉียบขาดในการนำความเป็นระเบียบและความสงบสุขกลับคืนมา
แต่ถ้าบ้านเมืองปกติ
พลเมืองมีความสงบสุขแล้วอำนาจเผด็จการและกฎหมายก็ลดความสำคัญลง
จารีตประเพณีที่ดีงามและคุณธรรมที่เคยมีความสำคัญ ก็กลับมีความสำคัญขึ้นมาดังเดิม
อีกประการหนึ่ง คนมีชีวิตจิตใจ มีความสำนึกว่าอะไรดีอะไรชั่ว
ไม่ใช่มีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ดังที่ฮั่นเฟ่ยจื้อกล่าวไว้
ปรัชญาของฮั่นเฟ่ยจื้อดูจะเป็นการลดศักดิ์ศรีของมนุษย์ลงเท่ากับสัตว์โลกทั้งหลาย
ความจริงมนุษย์มีระดับจิตใจแตกต่างกันบางคนจิตใจต่ำ บางคนจิตใจปานกลาง
และบางคนมีจิตใจสูง ดังนั้นการจะเหมาให้เหมือนกันหมดย่อมไม่สมควร
มนุษย์ที่มีคุณธรรมมิใช่มีแต่ความเห็นแก่ตัว
ไม่ใช่คบกับใครก็มุ่งเพื่อผลประโยชน์ให้ตนเท่านั้น แต่มนุษย์ยังมีความรัก
ความเคารพนับถือต่อกันได้อีกด้วย เช่น บางคนยอมทำทุกอย่างแม้ชีวิตก็สละได้เพื่อผู้ที่ตนรักเคารพบูชาและก็เป็นความจริงอยู่ว่า
การที่บุคคลจะให้ความรักความเคารพ ความนับถือบูชาผู้ใด
ก็ต่อเมื่อผู้นั้นมีคุณธรรมความดีสูงส่ง
หรือมิเช่นนั้นก็เป็นผู้ที่เคยมีบุญคุณต่อตนมาก
ส่วนผู้ปกครองที่มีอำนาจตามที่ฮั่นเฟ่ยจื้อกล่าวไว้ว่าไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมความดีอะไร
มีอำนาจอย่างเดียวก็เพียงพอ
เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้นำนั้นก็ไม่มีคุณธรรมน่านับถือแต่อย่างไร
ทั้งไม่ได้ทำบุญคุณแก่ใคร ผลก็คือเขาก็ย่อมไม่เป็นที่นับถือของใครเช่นกัน
ผู้ปกครองนั้นจึงเป็นผู้ที่อยู่บนหัวไม่ใช่อยู่ในจิตใจของประชาชน
ประชาชนจะรู้สึกหนัก อยากจะสลัดให้พ้นออกไป แต่ก็ยังทำไม่ได้
เพราะผู้นำนั้นมีอำนาจค้ำไว้ แต่เมื่อใดมีผู้ทรงอำนาจมากกว่ามาปฏิวัติขับไล่ผู้นำเก่าให้ออกไป
ประชาชนก็จะยินดีช่วยผลักดันให้ เพราะผู้นั้นไม่ได้เป็นที่รักดังกล่าวแล้ว
อนึ่ง การใช้อำนาจและกฎหมายย่อมได้ผลชั่วคราวไม่คงทนเพราะอำนาจและกฎหมายก็เป็นอนิจจัง
จึงจำต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ของยุคสมัย
นอกนี้ยังเสี่ยงต่อการถูกปฏิวัติของผู้มีอำนาจดังกล่าวแล้ว
เมื่อมีผู้นำใหม่ก็มักเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ กฎหมายใหม่ เหตุการณ์หมุนเวียน อย่างนี้ได้เรื่อยไป แล้วบ้านเมืองจะมีเสถียรภาพและเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร
หลักการที่ดีเด่นทั้งหลายที่ฮั่นเฟ่ยจื้อตั้งไว้ก็เป็นอันต้องพังลงหมดเช่นกัน
เพราะอำนาจก็จำเป็นต้องมีอำนาจมาหักล้างเช่นกัน
เพราะฉะนั้นระบอบการปกครองที่มุ่งใช้อำนาจและกฎหมายจึงไม่ใช่มาตรการที่ดีแท้
ความจริงจารีตประเพณีและคุณธรรม ตลอดทั้งอำนาจกฎหมายจำต้องอิงอาศัยไปด้วยกัน
จะแยกจากกันโดยเด็ดขาดมิได้ จึงจะเป็นมาตรการที่ดีแท้ คงทนถาวร
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การปกครองที่ดีจะต้องมีทั้งพระเดชพระคุณควบคู่กันไป
จะใช้เพียงอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้นย่อมไม่พอ เพียงแต่บางครั้งเน้นพระเดช
และบางคราวเน้นพระคุณให้เหมาะสมกับสถานการณ์เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น