วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แซลลี แมคเฟก

แซลลี  แมคเฟก : โลกอันเป็นกายของพระเจ้า
จริยศาสตร์สิ่งแวดล้อม
       เช่นเดียวกับนักเทววิทยาร่วมสมัยที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับนิเวศ แซลลี แมคเฟก นักเทววิทยานิกายโปรเตสแตนท์กล่าวว่า เทววิทยาของศาสนาคริสต์ดั้งเดิมกำลังต้องการการคิดทบทวนและการฟื้นฟูแล้วภาพลักษณ์ละตัวแบบของพระเจ้าที่ครอบงำความคิดทางศาสนาคริสต์ไม่เพียงแต่ล้าสมัยไปแล้วในตอนนี้ หากยังเป็นอันตรายด้วย เธอกกล่าวว่ามันเป็นอันตรายเพราะสนับสนุนท่าทีต่อโลกที่ละเลยเมินเฉยต่อการที่มนุษย์หยั่งรากฝังอยู่ในโลก และต้องพึ่งพาโลกเพื่อยู่รอดให้ได้มันอันตรายเพราะซ้ำเติมความโน้มเอียงของมนุษย์ที่จะคิดถึงโลกและสิ่งสร้างอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ว่าถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าเพื่อให้กับมนุษย์เป็นการเฉพาะ มันอันตรายเพราะสนับสนุนท่าทีของมนุษย์ที่ไม่รู้สึกคุ้นเคย เหมือนอยู่ที่บ้านในโลกหากแต่เป็นผู้มาค้างแรมเท่านั้น  มีความโน้มเอียงชัดเจนในเทววิทยาแบบศาสนาดั้งเดิมที่จะกล่าวถึงพระเจ้าว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพและอยู่เหนือผู้อื่น กล่าวถึงพระเจ้าว่าทำสงครามกับศัตรูและมีชัยชนะ ให้ภาพพระเจ้าว่าเป็นชายเฒ่าที่สง่างามราวกับกษัตริย์ ห่างเหิน และน่ากลัว ผู้ดำรงอยู่นอกโลกที่พระองค์รังสรรค์ความคิดที่กล่าวมานี้ทั้งหมดได้ตอกย้ำทวิภาคระหว่างพระเจ้ากับโลก ความคิดเช่นนี้ตอกย้ำสิ่งที่แมคเฟกเรียกว่า ความโน้มเอียงทวิลักษณ์สมมาตรระหว่างพระเจ้ากับธรรมชาติ และระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

        แมคเฟกกล่าวว่าในทัศนะแบบศาสนาคริสต์ดั้งเดิม เป็นการยากมากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เอาเลยที่จะคิดถึงพระเจ้าว่าสถิตอยู่ในการรังสรรค์หรือในมนุษย์และแมคเฟกก็ยังวิพากษ์วิจารณ์การที่เทววิทยาของศาสนาคริสต์จำนวนมากได้เน้นความรอดส่วนบุคคล การให้ความสำคัญเป็นประการแรกหรือประการเดียวไปที่ความสัมพันธ์ของการถักทอทางสังคมและนิเวศที่มนุษย์อาศัยอยู่ลงเหลือน้อย แมคเฟก กล่าวว่าการเน้นแง่มุมส่วนบุคคลของจิตวิญญาณและความรอดมักจะหมิ่นแคลนความสำคัญของโลก โลกในเทววิทยาแบบดั้งเดิมจำนวนมากกลายเป็นแค่อะไรที่มากกว่าเวทีชั่วคราวที่ใช้แสดงละครว่าด้วยความรอดส่วนตัวอยู่ มันไม่มีความน่าสนใจหรือความสำคัญในตัวเอง เป็นเรื่องอันตรายเมื่อโลกกำลังถูกคุกคามอย่างร้ายแรงต่อการเป็นถิ่นอาศัยที่เหมาะสมต่อชีวิต แมคเฟกกล่าวว่า มีแรงขับที่ทรงพลังในโลกกำลังถูคุกคามอย่างร้ายแรงต่อการเป็นถิ่นอาศัยที่เหมาะสมต่อชีวิตมนุษย์  แมคเฟกกล่าวว่า มีแรงขับที่ทรงพลังในโลกปัจจุบันทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจ และศาสนา ที่กำลังดึงเราไปสู่การทำลายชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ และสิ่งที่เป็นที่ต้องการอย่างมากก็คือเทววิทยาศาสนาคริสต์ที่ยอมรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์และชีวิตที่อยู่สืบไปในโลกเป็นหลักการสำคัญ  ประการแรก มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีศักยภาพในการวางยาพิษโลก และทำลายชีวิตในโลกให้สูญไปเธอกล่าวว่าเทววิทยาที่ไม่ถือเรื่องนี้อย่างจริงจังก็จะไร้ประโยชน์
        แมดเฟก กล่าวว่าเทววิทยาที่สอดคล้องและอยู่ได้ในยุคปัจจุบันจะต้องใส่ใจกับปัญหาด้านนิเวศและสิ่งแวดล้อม เทววิทยาที่กังวลถึงความรอดส่วนตัวอันเป็นการออกห่างจากโลกไปดำรงอยู่ในสวรรค์อันห่างไกลบางแห่ง และตัวอันเป็นการออกห่างจากโลกไปดำรงอยู่ในสวรรค์อันห่างบางแห่งและเทววิทยาที่กล่าวถึงพระเจ้าอย่างง่ายๆ ว่าจะนำจุดจบมาสู่โลกด้วยความเคียดแค้นในวันพิพากษา โดยจะช่วยเพียงไม่กี่คนที่ทรงเลือกให้ไปอาศัยกับพระองค์นั้นไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง และไม่ได้สนใจปัญหาร้ายแรงที่เราต้องเผชิญหน้าอย่างจริงจัง เทววิทยาที่ฟื้นคืนขึ้นมาจะต้องมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงท่าทีและสมมติฐานของมนุษย์ที่เกี่ยวพันกับการทำลายล้างโลกอย่างต่อเนื่อง ประเด็นของยุคสมัยของเราคือ ชีวิตหรือความตายจะคงอยู่บนดาวเคราะห์นี้ แมคเฟกชี้ว่า นักเทววิทยาถูกเรียกร้องโดยตรงให้แก้ไบปัญหานี้
        มนุษย์ในทุกวันนนี้จำเป็นต้องบรรลุถึงสำนึกที่ตื่นตัวอย่างเต็มที่ต่ออันตรายที่โลกเผชิญอยู่ และความสำนึกนี้จะนำมนุษย์ให้รับผิดชอบต่อชะตากรรมของโลก สำหรับแมคเฟกแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องมีซึ่งเป็นความรอดของเรา ก็ตือสำนึกที่ตระหนักว่ามนุษย์ยังอยู่ในองค์รวมอันกว้างใหญ่และมีชีวิตซึ่งในองค์รวมนี้พวกเขาเชื่อมโยงกับเผ่าพันธุ์และรูปแบบชีวิตอื่นทั้งมหดอย่างไม่อาจหลีกหนีไปได้
       ในการแสวงหาท่วงทำนองใหม่ๆ ทางเทววิทยาและตัวแบบใหม่ๆเกี่ยวกับพระเจ้าที่อาจจะช่วยปลุกจิตสำนึกใหม่นี้ แมคเฟกพยายามจะคงความศรัทธาต่อสิ่งที่เธอคิดว่าแก่นความคิดและคำสอนหลักที่สำคัญเธอพยายามจะสร้างเทววิทยาที่บั่นทอนมาตรฐานทางโลกย์ที่เคยเป็นมาโดยรวมเอาคนนอกและคนที่อยู่ชายขอบเข้าไว้และต่อต้านการมีลำดับขั้นความสำคัญของชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เทววิทยาของเธอได้ให้ความสำคัญแก่  (๑) ทัศนะแบบศาสนาคริสต์ที่เห็นพระเจ้าเป็นบุคคล  (๒)คำสอนเกี่ยวกับการแบ่งภาคมาเกิด และ (๓) แก่นความคิดว่าด้วยการตรึงกางเขนและการฟื้นคืนชีพ  ในบริบทของเทววิทยาแบบศาสนาคริสต์ ความคิดของแมคเฟกที่อาจจะสร้างความโกรธเคืองได้มากที่สุดก็คือความคิดที่ว่า เราควรเห็นว่าโลกคือ กายพระเจ้า มีประวัติศาสตร์ยาวนานเรื่องการระแวงสงสัยการบุชาธรรมชาติในศาสนาคริสต์และในพระคัมภีร์ไบเบิลระดับหนึ่ง พระเจ้าอาจจะสร้างโลกแต่พระองค์ก็ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นโลก ส่วนมากมักจะถือว่าพระเจ้าอยู่เหนือโลก แมคเฟกชี้ว่า การกล่าวว่าโลกคือพระวรกายของพระเจ้ามิใช่อย่างเดียวกับการกล่าวว่าโลกคือพระเจ้า เช่นเดียวกับการที่ตัวบุคคลจะมีความหมายมากกว่าร่างกาย พระเจ้าก็ไม่ได้มีอยู่เพียงในร่างกายหรือถูกกักอยู่ในกายของพระองค์แต่อย่างใด การยืนยันว่าโลกศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เดินทางบนเส้นทางยาวไกลเพื่อไปสู่การส่งเสริมให้เกิดความเคารพและความเอาใจใส่ต่อโลก
   แก่นความคิดของชาวคริสต์ว่าด้วยการตรึงกางเขน การฟื้นคืนชีพและการดำเนิดใหม่อาจจะเข้าใจได้ในแง่ที่ว่าโลกเป็นกายของพระเจ้าการตรึงกางเขนในแกร่วมสมัยอาจหมายถึงการล่วงละเมิดทำร้ายโลก การขูดรีดประโยชน์และการวางยาพิษต่อพระวรกายของพระเจ้า เทววิทยาของแมคเฟกถือว่าการกดข่มขี่เหงสิ่งสร้างทั้งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์และจงใจทำร้ายระบบนิเวศนั้นเป็นบาปต่อกายของพระเจ้า ดังนั้นแมคเฟกจึงมองการตรึงกางเขนว่าเป็นเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ ที่ปรากฏออกมาในชีวิตประจำวันในรูปแบบของการทำร้ายโลกโดยน้ำมือมนุษย์ เช่นเดียวกับการอธิบายในพระคัมภีรร์ไบเบิลเกี่ยวกับการตรึงกางเขนพระเยซู ความคิดที่ว่ามนุษย์กำลังทำอันตรายโลกตอกย้ำความทุกข์ทรมานของพระเจ้าในมือมนุษย์อย่างไรก็ดี ในเทววิทยาของแมคเฟก บทบาทของพระผู้ไถ่ได้ถูกโอนไปเป็น หรือพูดคลุมไปว่าเป็นดาวเคราะห์นี้ทั้งดวงโลกอันล้ำค่านี้ที่เป็นอู่ชีวิตของมนุษย์ หรือที่จริงก็คือของชีวิตทั้งมวลกำลังถูกจงใจทำร้ายโดยบาปของมนุษย์   แมคเฟกตีความแก่นความคิดว่าด้วยการเกิดและการฟื้นคืนชีพที่สำคัญยิ่งในเทวตำนานของศาสนาคริสต์ ว่าหมายถึงพระเจ้าได้สถิตพระองค์เองอย่างเต็มที่ในการรังสรรค์ทางกายภาพ (การแบ่งภาคมาเกิด) และจะอยู่กับพวกเราไปชั่วนิรันดร์ในโลก (การฟื้นคืนชีพ)แก่นความคิดหลักประการหนึ่งในเทววิทยาศาสนาคริสต์ก็คือพระเจ้าทรงเสี่ยงพระองค์เองในการมาเป็นมนุษย์ในรูปพระเยซูพระเจ้าเปิดพระองค์ต่อการทำร้ายและความทุกข์ในการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตบนโลกแก่นความคิดที่ถือว่าโลกเป็นพระวรกายของพระเจ้า มีความเหมาะสมกับโลกร่วมสมัย ในฐานะที่ทรงเป็นโลก พระเจ้ายอมให้พระองค์เองเปราะบางต่อการทำร้ายของมนุษย์แต่ก็ทำให้พระองค์เองพร้อมต่อการอยู่ร่วมกันโดยตรงและอย่างลึกซึ่งเช่นกัน ในเทววิทยาของแมคเฟก พระเจ้าไม่ได้มาเยือนโลกเป็นระยะๆหากพระเจ้าอยู่ที่นี่ตลอดมาอยู่ในโลกใบนี้เอง
   แก่นความคิดหลักในเทววิทยาของแมคเฟกอีกประการหนึ่งที่อาจสร้างความขุ่นเคืองในบริบทศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิมก็คือการระบุอัตลักษณ์ของพระเจ้าเป็นแม่  ตัวแบบของพระเจ้าที่เป็นแม่ตอกย้ำความคิดที่ว่าโลกคือกายของพระเจ้า ในเทววิทยาของแมคเฟกมองโลกที่เป็นกายของพระเจ้าว่าเป็นอู่ เป็นมดลูก ซึ่งทุกสรรพสิ่งถือกำเนิดขึ้น คือแผ่นดินที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง มนุษย์กำเนิดโดยได้รับการหล่อเลี้ยงและพึ่งพาอยู่กับโลก ซึ่งหากขาดไปแล้วชีวิตก็ไม่อาจอยู่ได้ ภาพลักษณ์ของพระเจ้าว่าเป็นแม่และโลกก็คือกายของแม่ ได้ทำลายจารีตธรรมเนียมของความคิดแบบศาสนาคริสต์ที่ว่าพระเจ้าเป็นชายผู้ห่างเหินจากโลก และเช่นกัน ภาพลักษณ์นี้ได้ลดทอนการจัดลำดับขั้นในความคิดแบบศาสนาคริสต์ลงให้เหลือน้อย ในฐานะที่เป็นแม่ พระเจ้าจะพร้อมเสมอเพื่อบุตรของนาง ผู้ซึ่งนางจะหล่อเลี้ยงบำรุงอยู่ทุกวันด้วยธาตุจากกายของนาง นางอยู่ใกล้เสมอเมื่อเราต้องการอย่างที่เคยเป็นมาเพื่อประโยชน์แก่สิ่งสร้างทั้งปวงของนาง
     ความคิดที่ว่าพระเจ้าคือแม่ และโลกคือกายของนางนี้ยังเน้นในเทววิทยาของแมคเฟก เรื่องความเชื่อมสัมพันธ์กันและกันของสิ่งสร้างทั้งปวง สิ่งทั้งปวงเป็นบุตรของพระเจ้าผู้เป็นมารดาและได้รับการทะนุถนอม จากนาง มนุษย์ถือว่าเป็นพี่น้องกับเผ่าพันธุ์อื่นมากว่าจะเป็นผู้แก่งแย่ง แม้ว่ามนุษย์มีความรับผิดชอบสำคัญเป็นพิเศษในการดูแลรักษาโลก เทววิทยาแบบแมคเฟกก็ไม่ถือว่าพวกเขาคือผู้ครอบครองหรือควบคุมสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น อีกทั้งเผ่าพันธุ์อื่นก็ไม่ถือว่าถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการและวัตถุประสงค์ของมนุษย์ ในความหมายนี้แมคเฟคต่อต้านแนวโน้มการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางในเทววิทยาแบบศาสนาคริสต์จำนวนมาก และแทนที่ด้วยความเป็นเครือญาติกับสรรพสิ่งทั้งมนุษย์และมิใช่มนุษย์
          จุดเน้นย้ำของเทววิทยาของแมคเฟกที่การทำให้โลกศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นพระเจ้า และบุคลาธิษฐานว่าโลกเป็นแม่ เป็นเสียงสะท้อนแก่นความคิดที่ว่าโลกศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเทพีในข้อมูลเกี่ยวกับชนพื้นเมืองและศาสนาเอเชีย บางแบบที่เราได้ศึกษาในบทก่อนๆ เช่นเดียวกัน กรณีเช่นนั้นและเทววิทยาของแมคเฟกให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะและสถาปนาความสัมพันธ์และความเคารพยำเกรงต่อแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่หรือโลกโดยรวม และไม่ให้ความสำคัญกับช่องว่างที่แยกมนุษย์ออกจากเผ่าพันธุ์ชีวิตอื่น หากแต่เน้นที่ความเป็นเครือญาติของสรรพสิ่ง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น