ฟรานซิส
เบคอน เกิดวันที่ 22 มกราคม
ค.ศ.1561 ที่ยอร์ค เฮาร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เกิดในตระกูลผู้ดีมีตำแหน่งทางการเมือง
เข้าศึกษาที่ Trinity College แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่ออายุ
12 ปี เรียนอยู่ได้ 3 ปี แล้วออกไปเพราะไม่ชอบวิธีการเรียนและหนังสือเรียน
นอกจากนี้ยังได้แสดงความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออริสโตเติล และปรัชญาอัสมาจารย์ อีกด้วย
เบคอนเป็นทั้งนักวรรณคดีและนักปกครอง
และถือว่าเป็นนักการศึกษาในสมัยนี้ ด้วยเหตุที่ว่า เบคอนมีลักษณะพิเศษอยู่ 2 ประการคือ เป็นผู้นำแนวความคิดแนวผัสสะสัจนิยม (Sense Realism) และเป็นผู้สร้างตำราในการแสวงหาความรู้โดยวิธีอุปมาน
(Inductive) อันเป็นวิธีการให้การศึกษาที่สำคัญวิธีหนึ่งนอกจากนี้แล้วยังจัดได้ว่าเป็นผู้ต้นคิดสารานุกรม
(Encyclopeadia) และปรัชญาอีกด้วย
ด้วยลักษณะพิเศษดังกล่าว ทำให้ ฟรานซิส เบคอน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะทูตอังกฤษประจำประเทศฝรั่งเศส
เมื่ออายุเพียง 16 ปี จากนั้นในปี ค.ศ.1583 ขณะนั้นอายุได้ 23 ปี ก็ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่รัฐสภา
และได้รับเลือกอีกหลายสมัย
เบคอนเป็นนักการเมืองที่ฉลาดหลักแหลมและมีความคมคายทางการพูดมาก
ในปี ค.ศ.1617 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้เก็บรักษาดวงตราสืบแทนบิดา
นอกจากนี้ในปี ค.ศ.1618 เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็น
อัครมหาเสนาบดี
ผลงานด้านการเขียนที่สำคัญของเบคอน
ความก้าวหน้าของการศึกษา
( The Advancement of Learning
ค.ศ.1605)
อุปกรณ์ใหม่ (The New Organon ค.ศ.1620)
การแสวงหาความรู้แบบอุปนัย
แนวความคิดของลัทธิมนุษย์นิยมนั้นทำให้นักวิชาการในยุคนั้นสมัยนั้นมีความคิดที่เป็นอิสระมากขึ้น
รู้จักแสวงหาความรู้ เกิดความเข้าใจในธรรมชาติของความเป็นจริงอย่างมีเหตุผล ด้วยเหตุนี้เองทำให้เกิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ขึ้น
โดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นี้ มีวิธีหาความรู้โดยการอุปนัย (inductive) ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะแตกต่างไปจากการแสวงหาความรู้ตามรูปแบบเดิม
ซึ่งได้แก่ วิธีการนิรนัย (deductive) โดยวิธีการนิรนัยนั้น
จะเป็นวิธีที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนในกฏเกณฑ์ก่อน แล้วจึงไปเรียนในส่วนย่อยทีหลัง
แต่วิธีอุปนัยนั้น เบคอนได้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกันก็คือ ให้มีการศึกษาพิจารณาสิ่งย่อยก่อน
แล้วจึงร่วมเข้ากันเป็นกฏเกณฑ์ นั่นเอง ในช่วงแรกนั้น วิธีการอนุมานดังกล่าวของเบคอน
ได้ดำเนินไปในทางที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะขาดหลักการที่แน่นอน ต่อมา รัตเก (Ratke) และ คอมมีนิอุส (Commenius) ก็ได้นำหลักการดังกล่าวของเบคอนมาปรับปรุงและจดให้เป็นระบบเป็นระเบียบที่ดียิ่งขึ้น
วิธีการแสวงหาความรู้แบบอุปมัย
ได้เริ่มต้นในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ผู้ที่เริ่มต้นจุดประกายความคิดนี้ ก็คือ
ฟรานซิส เบคอน (francis bacon) ซึ่งเบคอนเองก็ได้กล่าวไว้ว่า
ข้อสรุปที่ได้ วิธีการแสวงหาความรู้ จากความจริงเฉพาะที่ได้จากประสบการณ์
(อาศัยสังเกตข้อมูลและนำข้อมูลมากลั่นกรองเป็นทฤษฎีหรือความจริงทั่วไป)
วิทยาศาสตร์ใช้การอุปนัยโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 สังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อสังเกตแล้วตั้งสมมติฐาน อธิบายปรากฏการณ์เหล่านั้น
จากนั้นสังเกตปรากฏการณ์ประเภทเดียวกันต่อไป เพื่อทดสอบสมมติฐาน
เมื่อได้รับการยืนยันที่ถูกต้องก็ตั้งเป็นกฎ ประสบการณ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
กฎทางวิทยาศาสตร์ได้ข้อมูลที่มาจากประสบการณ์ การทดสอบความจริงของกฏที่ทดสอบด้วยประสบการณ์
ใช้คาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้
ในการทดสอบเก็บข้อมูลความรู้ทางคณิตศาสตร์จะเข้ามามีบทบาททำให้เกิดความแม่นยำถูกต้องเพิ่มมากขึ้น
การอนุมาน หรือ
การอุปนัยนั้น โดยรวมแล้วจะหมายถึงการให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) ที่เกิดจากการมีสมมติฐานกรณีเฉพาะ
หรือเหตุย่อยหลายๆ เหตุ และเหตุย่อยแต่ละเหตุนั้น เป็นอิสระจากกัน
มีความสำคัญเท่าๆ กัน
และเหตุทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นสมมติฐานกรณีทั่วไป
หรือกล่าวได้ว่า การให้เหตุผลแบบอุปนัยคือการนำเหตุย่อยๆ แต่ละเหตุมารวมกัน
เพื่อนำไปสู่ผลสรุปเป็นกรณีทั่วไป เช่นตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัย
ลักษณะสำคัญของการให้เหตุผลแบบอุปนัย
1.สรุปเกินหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่
2.การสรุปของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน
3.การสรุปผลอาจไม่เป็นจริงเสมอไป
4.อุปนัยที่ดีข้อสรุปจะต้องมีความน่าเชื่อถือ
โดยวิธีคิดแบบอุปนัยนั้น
จะไม่ได้เริ่มต้นจากความเชื่อ แต่จะเริ่มจากการสังเกตข้อมูลอย่างเป็นกลางในหลายๆสถานการณ์
เพื่อหาลักษณะร่วมกันที่นำไปสู่ข้อสรุปทั่วไป เพราะ เบคอน ได้เน้นความสำคัญของข้อมูลเชิงประจักษ์
เพื่อนำมาตรวจสอบข้อมูลที่ได้ แหล่งความรู้ต่าง ๆ ไม่ใช่ข้อสรุป
แต่เป็นข้อมูลสำหรับการตั้งสมมติฐานเพื่อการตรวจสอบด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์
ฟรานซิสเบคอน คิดค้นขึ้นเพื่อแก้ข้อบกพร่องที่ใช้เหตุผลเชิงนิรนัย
โดยศึกษาข้อมูลหรือกรณีย่อยหลายกรณีจนได้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกัน
แล้วนำไปสรุปเป็นความรู้ใหม่ที่กว้างขึ้น นั่นเอง (from
specific instant to the general theory)
การแสวงหาความรู้แบบนิรนัย
วิธีการแสวงหาความรู้แบบนิรนัยนั้นมีอิทธิพลตั้งแต่
ค.ศ.500 – ค.ศ. 1500 ซึ่งเป็นแนวความคิดของอริสโตเติล
มีอิทธิพลต่อการแสวงหาความรู้ เช่น
ถ้ารู้อะไรบางอย่างแล้วสามารถสืบรู้บางอย่างจากความรู้เดิมนั้นได้
โดยไม่ต้องอาศัยอะไรเพิ่มเติม (คนขยันทุกคนไปทำงานแต่เช้า : ขยัน
: ไปทำงานแต่เช้า)
เป็นการโยงความถูกต้องตามหลักการคิดหาเหตุผลว่าสมเหตุสมผล (validity) นิรนัย ( Deductive ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
การหาความรู้แบบนิรนัยนั้น ก็คือการหาเหตุผลจากส่วนรวมที่ยอมรับกันแล้ว ที่เป็นสากลแล้ว
หรือชัดแจ้งแล้ว ไปสู่ข้อสรุปในส่วนที่ยังไม่รู้หรือยังไม่ชัดแจ้ง พูดง่าย ๆ
ก็คือจากส่วนใหญ่ไปหาส่วนย่อย ๆ จากทุกส่วนไปหาบางส่วน
โดยวิธีการแบบนิรนัยนั้นจะเป็นการพัฒนากระบวนการคิดที่สำคัญ
ซึ่งมีอิทธิพลต่อศาสตร์แห่งการใช้เหตุผลเป็นอย่างมาก
แต่จุดอ่อนของการใช้เหตุผลแบบนิรนัยคือ ถ้าข้อความหลักไม่เป็นจริง
ผลของการนิรนัยก็ไม่ถูกต้อง วิธีคิดแบบนี้จึงใช้ได้เฉพาะบางสถานการณ์
และมีข้อจำกัดต่อการนำมาใช้ตรวจสอบความรู้ ความจริงใหม่ ๆ
เพราะถ้าข้อความหลักไม่สมบูรณ์ตามข้อเท็จจริง หรือไม่เป็นที่ยอมรับ
หรือยอมรับกันในทางที่ผิด ก็จะทำให้การสรุปในกรณีเฉพาะเกิดความผิดพลาดได้
วิธีการนี้ได้นักปรัชญาชาวกรีกเป็นผ้ให้กำเนิดแนวคิดดังกล่าวขึ้นมา
และนักปรัชญาคนดังกล่าวได้แก่ อริสโตเติล
(Aritotle) ซึ่งอริสโตเติ้ลได้เรียกวิธีนี้ว่า วิธีนิรนัย
(Deductive Method) โดยให้เหตุผลว่า เป็นวิธีการใช้เหตุผลที่เริ่มด้วยการกำหนดข้อความหลัก
ซึ่งเป็นข้อความโดยนัยทั่วไป เพื่อใช้ถอดแบบไปเป็นข้อเสนอหรือข้อสรุปสำหรับสถานการณ์เฉพาะต่างๆ
โดยมีข้อตกลงเบื้องต้นบนพื้นฐานของความเชื่อว่าข้อความหลักเป็นจริงด้วยข้อมูลที่สามารถอธิบายด้วยตัวของมันเอง
(self-evident) อันได้แก่ สิ่งที่มีชีวิตที่เกิดมาแล้วจะต้องตาย
ดาวเคราะห์ทุกดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ เป็นต้น การหาเหตุผลเฉพาะกลุ่ม (Categoricle
syllogism) เป็นวิธีการหาเหตุผลที่สามารถลงสรุปในตัวเองได้
เป็นวิธีการหาเหตุผลที่กำหนดสถานการณ์ขึ้น มักจะมีคำว่า “ถ้า...(อย่างนั้น
อย่างนี้)...แล้วอะไรจะเกิดขึ้น. (If…then…)
ดังนั้นการหาเหตุผลชนิดนี้ผลสรุปจะเป็นจริงหรือไม่แล้วแต่สภาพการณ์
เพียงแต่เป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามหลักตรรกศาสตร์เท่านั้น
ตาราง สรุปความแตกต่างระหว่าง
อุปนัย และ นิรนัย
วิพากษ์อุปนัยและนิรนัยของ Fracis Bacon
เบคอน ที่มีแนวความคิดแบบอุปนัยนั้น
เป็นแนวความคิดที่ไม่ตรงกับแนวความแบบนิรนัยของอริสโตเติลอย่างมาก ทั้งนี้
อริสโตเติล (Aristotle) เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น
บิดาของวิชาตรรกศาสตร์ เป็นผู้ค้นคิดวิธีการเสาะแสวงหาความรู้โดยอาศัยหลักของเหตุผล
โดยการนำเอาสิ่งที่เป็นจริงตามธรรมชาติมาอ้างองค์ ประกอบหรือขั้นตอนของการหาความรู้โดยวิธีนี้มี
3 ประการคือ
1) เหตุใหญ่ (Major
premise) เป็นข้อตกลงที่กำหนดขึ้น
2) เหตุย่อย (Minor
premise) เป็นเหตุเฉพาะกรณีที่ต้องการทราบความจริง
3) ข้อสรุป (Conclusion)
เป็นการลงสรุปจากการพิจารณาความสัมพันธ์ของข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริง
ย่อย แบบของการหาเหตุผล (Syllogism) ของอริสโตเติลมี 4
แบบ
และการหาความรู้โดยวิธีของอริสโตเติลนั้น
ก็ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดย ฟรานซิส เบคอน ว่ามีจุดอ่อนตรงที่ว่า เบคอนเห็นว่า การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยนั้นมีจุดอ่อนตรงที่เป็นลักษณะการอ้างเหตุผลที่
วกวนเหมือนกับพายเรือในอ่าง
ไม่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่จึงไม่มีประโยชน์
ความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์จึงน่าจะได้มาด้วยวิธีการอุปนัยมากกว่า Fracis Bacon ได้วิจารณ์ไว้ 1,600
ปีกว่ามาแล้วว่า ข้อความหลักตามการใช้เหตุผลแบบนิรนัย
อาจเป็นสิ่งที่ทึกทักเอาเองได้ หรือไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอ
จึงสามารถนำไปสู่ข้อสรุป ข้อสรุปที่ได้มาอาจผิดได้ โดย สิ่งที่เบคอนได้วิพากษ์นั้น
สามารถสรุปได้ทั้งหมด 2 ข้อดังต่อไปนี้
1. การหาความรู้โดยวิธีของอริสโตเติลนั้น
ไม่ได้ช่วยให้ค้นพบความรู้ใหม่ เพราะผลสรุปที่ได้นั้นถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตของเหตุใหญ่นั่นเอง
2. การหาเหตุผลโดยวิธีของอริสโตเติล
เป็นข้อสรุปที่จะมีความเที่ยงตรงเพียงใดนั้น ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความเที่ยงตรงของข้อเท็จด้วย
ทั้งข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริงย่อย ถ้าข้อเท็จจริงทั้งสองนี้ขาดความเที่ยงตรง ก็อาจทำให้ข้อสรุปขาดความเที่ยงตรงได้
และหลังจากศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา เป้าประสงค์ของนักวิทยาศาสตร์ คือ ทรมานให้ธรรมชาติเปิดเผยความลับออกมา
ซึ่งการกระทำดังกล่าว เรียกอีกชื่อได้ว่า อคติ 4 ประการ หรือ
เทวรูป 4 นั่นเอง
อคติ 4 ประการ ที่ครอบงำจิตมนุษย์
วิธีการศึกษาที่ได้ผลต้องอาศัยการสังเกตและทดลองเป็นหลัก
โดยตรรกวิทยาแบบอุปนัยเป็นเครื่องมือ ที่แสดงให้เห็นว่า จิตมนุษย์มีสมรรถภาพหลักอยู่ 3 ประการคือ ความจำ จินตนาการ และ ความสามารถในการใช้เหตุผล
สมรรถภาพเหล่านี้จะเสื่อมลงเมื่ออคติเข้าครอบงำ อคติทั้งหลายจะมีอิทธิพลทำให้ความรู้ของมนุษย์ผิดพลาดได้นั้น
ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว เบคอนเรียกว่า เทวรูป
ซึ่ง
เทวรูป ดังกล่าว จะมีลักษณะคล้ายกับ อคติในพระพุทธศาสนา ซึ่งจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์
เกิดความลำเอียง มีความคิดเห็นที่ผิดพลาด ครอบงำไม่ให้มนุษย์เข้าถึงสัจธรรม ดังนั้นเบคอนจึงมีความเชื่อที่ว่า
ในแต่ละบุคคลก็มีเทวรูป หรือ อคติ ที่แตกต่างกันไป และถ้าหากคนเราทุกคนสามารถทำลายเทวรูปในตัวของเราทุกคนได้แล้วนั้น จะส่งผลให้ เราจะสามารถค้นพบความจริงที่เหมือนกันหมด เรียกง่ายๆว่า เป็นความจริง ที่จริงแท้เพียงหนึ่งเดียว นั่นเอง และด้วยเหตุนี้
เบคอนจึงแบ่งเทวรูปดังกล่าวออกเป็น 4 อย่าง ได้แก่
1) เทวรูปแห่งตระกูล
(Idols of the Tribe)
เทวรูปแห่งตระกูล
หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อ ลักษณะท่าทาง บุคลิกภาพหรือเอกลักษณ์ของตัวบุคคลนั้นๆ
ที่ตกทอดมาจากกรรมพันธุ์และเชื้อสายของเขา
ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคล นอกจากนี้
ยังหมายถึง รสนิยมส่วนตัว ความโน้มเอียง คุณธรรม กิเลสที่อยู่ในบุคคลนั้นๆด้วย
ล้วนแต่ถือว่าเป็นเทวรูปแห่งตระกูลทั้งสิ้น
โดย เทวรุป คือ ตระกูลนี้
เป็นความเชื่อที่ฝั่งแน่นอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน อาจกล่าวได้ว่า เทวรูปดังกล่าวเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับการเกิดขึ้นของลัทธิศาสนาในโลก
ความเชื่อชนิดนี้เกิดจากอวิชชา คือ ความไม่รู้
เริ่มตั้งแต่ความไม่รู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์
และไม่รู้จักธรรมชาติอื่นๆที่มีอยู่รอบตัว ตัวอย่างเช่น คนกรีกสมัยโบราณไม่เคยปีนไปบนยอดเขาโอลิมปัส
ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศ ก้คิดว่าบนยอดเขาโอลิมปัสเป็นสรรค์
เป็นที่อยู่ของเทพเจ้านานาชนิด แล้วก็สร้างเรื่องเป็นนิยายขึ้นเพื่อสอนคนให้เชื่อถือกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน
มนุษย์เมื่อเกิดความเชื่อต่อสิ่งที่กล่าวมาก็จะทำให้ใจยึดมั่นผูกขาดว่า
สิ่งที่เราเชื่อและได้ปฏิบัติตามความเชื่อของตนนี้แหละเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
ส่วนของคนอื่นไม่ถูกต้อง เป็นความเชื่อที่อธิบายทางเหตุผลไม่ได้ ฉะนั้น ฟรานซิส
เบคอล จึงได้เปรียบความเชื่อหรือความเห็นเหล่านี้ว่าเป็นความเชื่อแบบเทวรูปตระกูล
2) เทวรูปแห่งถ้ำ
(Idols of the Den)
คำว่า “ ถ้ำ ” หมายถึง สิ่งแวดล้อมและการศึกษา
การอบรมของแต่ละบุคคลตั้งแต่เขาเกิดจนถึงปัจจุบัน
เขาเคยชินอยู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างใด บุคคลก็จะแสดงออกตามความเคยชินนั้นๆ ดังนั้น ความรู้ การศึกษา การอบรมและสิ่งแวดล้อม จึงเปรียบเสมือนถ้ำที่คอยกักขังเขาเหล่านั้นเอาไว้ จึงอาจกล่าวได้ว่า “บุคคลที่มีความรู้แค่ไหน หรือ อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบใด ก็มักจะคิดและพูดอยู่ในกรอปอันนั้น” ทั้งนี้ บุคคลเหล่านั้นจะมีความเข้าใจว่า
ความคิดของตัวเองดีและถูกต้องที่สุดแล้ว โดยที่เขานั้นจะไม่สามารถแสดงความคิดของตนเองให้พ้นออกไปจากถ้ำ
หรือ กรอบแห่งการศึกษา และสิ่งแวดล้อมนั้นๆไปได้เลย เปรียบได้กับคำสุภาษิตที่ว่า
กบในกะลา เนื่องจาก กบที่อยู่ในกะลาจะไม่สามารถคิดนอกกรอบ
หรือ คิดให้พ้นออกไปจากกะลาที่ตนอาศัยอยู่ได้เลย
ตัวอย่างเช่น
นิทานเรื่องถ้ำ ที่มีเนื้อหาในเชิงที่ว่า คนหลายคนถูกกักขังอยู่ภายในถ้ำตั้งแต่ยังเล็ก
พวกเขาถูกบังคับให้หันหน้าเข้าหาผนังด้านในสุด ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับปากถ้ำ คนเหล่านั้นจะต้องนั่งเป็นรูปปั้นเพราะถูกล่ามโซ่ที่ขาและใส่ขื่อที่คอ
จึงไม่สามารถแม้กระทั้งเหลียวมองเพื่อนนักโทษที่นั่งอยู่ข้างๆ บริเวณด้านหลังนักโทษมียกพื้นลาดสูงจนถึงปากถ้ำ
ใกล้กับปากถ้ำมีกองไฟที่แสงไฟแผ่ออกไปจับผนังถ้ำด้านหน้านักโทษ
บริเวณด้านหลังนักโทษมีคนจำนวนหนึ่งเดินกันอย่างขวักไขว่
ในมือถือภาชนและรูปปั่นต่างๆ
เงาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไปทาบกับผนังด้านหน้านักโทษ
ทำให้เห็นเงาที่ผนังแต่ไม่อาจที่จะหันหลับมามองที่มาของเงา
มีนักโทษคนหนึ่งถูกปล่อยและเขาสามารถที่จะหันหลังกับไปดูข้างหลังได้และมองถึงเห็นถึงที่มาของเงา
ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจว่าคนกับเงาเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน
แต่เขาก็สรุปตามความเคยชินของเขาว่า สิ่งที่เขาค้นพบใหม่เป็นเพียงภาพลวงตา
ของจริงเป็นสิ่งที่ปรากฏบนผนังถ้ำ
และเมื่อเขาได้เดินออกมานอกถ้ำทำให้เห็นโลกภายนอก
ทำให้เขารู้จักโลกดีกว่าแต่ก่อน เขาจึงได้พยายามกลับไปอธิบายกับกลุ่มคนที่ติดอยู่ในถ้ำ
ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เงา
แต่ก็ไม่มีใครฟังเขาและคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว
3) เทวรูปแห่งตลาดนัด
(Idols of the Market-Place)
คำว่า “ ตลาดนัด ” คือ
ภาษาที่มนุษย์ใช้ และคำว่า “ ภาษา ” หมายถึง
กฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ ความเข้าในในภาษา สำนวน ประมวลศัพท์ต่างๆ เป็นต้น เพราะภาษาเป็นสิ่งที่บุคคลใช้ในการถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกออกมาเป็นคำพูด
ดังนั้น
ภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงส่งผลให้คนที่รู้น้อยในภาษา ก็จะมีความคิดและความเข้าใจน้อยตามไปด้วย จึงทำให้เขาถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกได้น้อย
ตรงข้ามกับ
คนที่เข้าใจในภาษาได้มากได้อย่างลึกซึ้ง
ย่อมถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกออกมาได้อย่างลุ่มลึก ซับซ้อน แหลมคมและมากมายด้วยนัยแห่งความคิด เบคอน ได้เปรียบเทียบภาษาของแต่ละสังคม
ว่าเป็นเหมือน ตลาดนัดของสังคมนั้นๆเอง
เพราะคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะเดินเลือกซื้อของภายในบริเวณของตลาดที่กำหนดไว้ และนำภาษาที่มีในตลาดมาใช้ในการพูดและแสดงความคิดเห็นได้ และในภาษาอื่นหรือตลาดอื่นๆก็มีขอบเขตของภาษาที่กำหนดไว้ เช่นกัน ดั้งนั้น
ภาษาจึงเป็นเครื่องมือที่บุคคลใช้ในการแสดงความคิดเห็น
และยิ่งถ้าบุคคลใดมีความรู้ในหลายๆภาษาก็ยิ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า
บุคคลนั้นเป็นคนที่ฉลาด
ตัวอย่างเช่น ในศาสนาศริสต์จะมีการสื่อความหมายเกี่ยวกับพระเจ้าว่า
“พระเจ้าผู้สูงสุดของเรา คือ พระเจ้าพระองค์เดียว สูเจ้าต้องรักพระองค์ด้วยดวงใจทั้งสิ้น
และพระเจ้าเป็นผู้เห็น ผู้รอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง”
ศาสนาอิสลามจะสื่อว่าความหมายว่า “ไม่มีพระเจ้าองค์ใดนอกจากพระอัลเลาะห์
ซึ่งเป็นผู้สร้างทุกอย่างในเอกภพ เป็นผู้มีอยู่ตลอดเวลา”
จะเห็นได้ว่าการสื่อความหมายเกี่ยวกับพระเจ้าในแต่ละศาสนานั้น
ถึงแม้จะมีความคล้ายคลึงกันในฐานะที่พระเจ้าเป็นผู้มีเดชานุภาพที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสรรค์
แต่ก็แตกต่างในความรู้สึกของผู้นับถือ
4) เทวรูปแห่งโรงละคร
(Idols of the Theater)
คำว่า “ โรงละคร ” หมายถึง
หลักของขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนาและวัฒนธรรม
ซึ่งเป็นเวทีแห่งพฤติกรรมของบุคคล
ทุกๆคนในสังคมจึงเป็นตัวละครที่แสดงบทบาทไปตามกรอบแห่งขนบธรรมเนียม ศาสนาและวัฒนธรรม บุคคลจึงมีความเคยชินกับหลักการและกฎเกณฑ์ของสิ่งเหล่านี้
ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งใดก็ตามที่ตรงกับหลักการของสังคม
จึงถือว่าถูกต้อง แต่ถ้าสิ่งใดไม่ตรงกับหลักขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนาและวัฒนธรรมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด
ดังนั้น
โรงละครจึงเป็นสังคมที่มีบุคคลมากมายอาศัยอยู่รวมกัน
ความคิดที่ผูกติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆของตน
โดยไม่ได้รับการยอมรับความเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก ซึ่งถือว่า เป็นอุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้มนุษย์ค้นพบแสงสว่างแห่งความจริงอันเป็นสัจธรรมชีวิต ตัวอย่างเช่น มนุษย์สมัยโบราณมีความเชื่อว่า
โลกแบน มีสี่เหลี่ยม หรือมีความเชื่อว่า
ถ้าเดินเรือไปกลางทะเลสักวันหนึ่งจะแล่นเลยออกไป แล้วจะตกจากขอบโลก ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ถูกสอนกันมานาน
ต่อมาเมื่อมีการสำรวจความจริงเรื่องทางโคจรของดวงอาทิตย์กันขึ้นนั้น ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า
โลกไม่ได้กลม นอกจากนี้โลกยังมีการหมุนรอบตัวของมันเองอีกด้วย ข้อพิสูจน์ดังกล่าวจึงยุติความเชื่อที่ว่า
โลกกลม นั่นเอง
เบคอนมีความเชื่อว่า เทวรูปทั้ง 4 ประการดังกล่าว คืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้มนุษย์เราได้ค้นพบความจริง คนทุกคนมีเทวรูปที่ต่างกันออกไป
ดังนั้นจึงส่งผลให้พวกเขามี ลักษณะนิสัย และความคิดเห็น ที่ต่างกันออกไป
เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่จะทำให้เราทุกคนมีความคิดเห็นที่ตรงกันนั้น เบคอนเสนอให้ทำลายเทวรูปทั้ง 4 นี้ทิ้งเสีย เมื่อทำลายเทวรูปดังกล่าวแล้วนั้น
ก็พยายามหาวิธีคิดที่ปราศจากเทวรูป หรือ อคติหรือกรอบใดๆมาปิดกั้น ถ้าหากมนุษย์เราสามารถกระทำได้ดังเช่นนี้แล้ว
เราทุกคนก็จะเห็นความจริงแท้ ที่เป็นความจริงอันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น