วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ปรัชญาของ ดร.ราธกฤษณัน




ดร.ราธกฤษณัน

ชีวประวัติ
      ราธกฤษณัน มีชื่อเต็มว่า สรฺเวปัลลิ 
ราธกฤษณัน เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2431 ในตระกูลพราหมณ์เตลูกุ ที่ยากไร้ตระกูลหนึ่ง ณ ตำบลติรุตตานี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐอันธรประเทศ) ขณะนั้นจะมีคนใดบ้างหรือไม่ที่คาดคิดว่า หนูน้อยเตลูกุคนนี้เมื่อโตขึ้นนั้นจะได้เป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ที่ทั่วโลกยอมรับนับถือ และมีตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของประเทศ คือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอินเดีย 



   

   ท่านได้รับการศึกษาจากมัทราสคริสเตียนวิทยาลัย (Madras Christian College) พวกมิชชันนารี ชาวเยอรมันในเมืองมัทราสอินเดียตอนใต้ ขณะศึกษาอยู่ที่นี้ ครูชาวคริสต์ได้วิจารณ์หลักความเชื่อในศาสนาฮินดูอย่างเสียๆหายๆ จนท่านทนฟังไม่ได้ จนมุมานะศึกษาค้นคว้าหลักคำสอนในศาสนาฮินดูจนมีความรู้กว้างขวางและได้โต้ตอบกับครูผู้วิจารณ์คนนั้นอย่างกล้าหาญชาญฉลาด เหตุการณ์นี้เองเป็นมูลเหตุให้ท่านสนใจศึกษาค้นคว้าหลักศาสนาและปรัชญาทั้งของตะวันออกและตะวันตก จนกลายเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ ได้รับเชิญไปสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในอินเดียและต่างประเทศ เช่น อังกฤษและอเมริกา

พ.ศ. 2452-2460 สอนวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยมัทราส ขณะสอนอยู่ในปี 2456 รพินทรนาถ ฐากุร ได้รับรางวัลโนเบลซึ่งเป็นข่าวที่คนอินเดียภาคภูมิใจมาก ดร.ราธกฤษณัน ก็ได้แสดงความชื่นชมโดยเรียบเรียงและตีพิมพ์หนังสือเป็นเกียรติแก่รพินทรนาถ ฐากุร เล่มหนึ่งให้ชื่อว่า ปรัชญาของรพินทรนาถ ฐากุร (The Philosophy of Rabindranath Tagore) ปรากฏว่าเป็นหนังสือที่นิยมอ่านกันแพร่หลายมาก

พ.ศ. 2461-2464 ย้ายไปสอนวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยไมเซอร์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก

พ.ศ. 2464-2474 ย้ายไปสอนวิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยกัลกัตตา รัฐเบงกอล ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของอินเดีย ขณะสอนอยู่ที่นี้ท่านได้เขียนหนังสือปรัชญาอินเดียสำเร็จ และตีพิมพ์ออกเผยแพร่เป็นหนังสือ 2 เล่มจบ ว่าด้วยประวัติและสาระของปรัชญาอินเดีย นับเป็นหนังสือที่ได้รับความสนใจมากและใช้สอนกันในมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วอินเดียตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

พ.ศ. 2474-2479 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดี (Vice Chancellor) ของมหาวิทยาลัยอันธระ ของรัฐอันธรประเทศ และในปี 2474 นั้นเอง พระเจ้าจอร์จ ที่ 5 แห่งอังกฤษ ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น Sir

พ.ศ. 2479-2482 ได้รับเชิญไปสอนวิชาศาสนาและจริยศาสตร์ตะวันออกที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ

พ.ศ. 2482-2490 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยพาราณสี รัฐอุดรประเทศ และเป็นผู้บรรยายวิชาปรัชญาด้วย

ในพ.ศ. 2490 นั่นเอง ประเทศอินเดียได้รับเอกราช ท่านได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วย

อนึ่งระหว่าง พ.ศ. 2490-2495 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนอินเดียประจำองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการบริหารองค์การนั้นในปี 2492 และ 2495

พ.ศ. 2492-2495 ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตประจำสหภาพโซเวียต

ในพ.ศ. 2495 หลังจากพ้นตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสหภาพโซเวียตแล้ว ท่านดีรับเลือกเป็นรองประธานาธิบดี จนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสืบแทน ดร.ราเชนทรประสาท ประธานาธิบดีคนแรกของอินเดีย

พ.ศ. 2496-2505 ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเดลี

พ.ศ. 2510 ท่านลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีและถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2518 รวมอายุได้ 85 ปี 7 เดือน 9 วัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผลงานที่สำคัญมีดังนี้


1. The Philosophy of Rabindranath Tagore (1913)

2. The Vedanta According to Shankara and Ramanuja (1924)

3. Indian Philosophy, 2 vols. (1923-1927)

4. The Philosophy of the Upanishads (1924)

5. The Hindu View of Life (1927)

6. An Idealist View of Life (1932)

7. East and West in Religion (1933)

8. Freedom and Culture (1936)

9. Goutama the Buddha (1939)

10. Indian Culture (1948)

11. Eastern Religions and Western Thought (1939)

12. Contemporary Indian Philosophy (1950)

13. Recovery of Faith (1955)

14. Eastern and Wastern : Some Reflections (1955)

15. Education, Politics, and War (1944)

16. Great Indians (1949)

17. The Dhammapada (1950)

18. The Heart of Hindustan (1932)

19. The Reign of Religion in Contemporary Philosophy (1920)

20. The Religion We Need (1928)

21. The Essentials of Psychology (1912)

22. The Ethics of the Vedanta and Its Metaphysical Presuppositions (1908)

23. Introduction to Mahatma Gandhi (1939)

*****************************************************************

แนวความคิดทางปรัชญา


จากชีวประวัติข้างต้น ทำให้เราพอมองเห็นได้ว่า ดร.ราธกฤษณัน มีความรู้ทางศาสนาและปรัชญาอย่างแตกฉาน โดยเฉพาะศาสนาและปรัชญาฮินดู ท่านสนใจมากเป็นพิเศษ ผลงานต่าง ๆ ของท่านแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่า ท่านต้องการอธิบายขยายความเชิงเปรียบเทียบกับศาสนาและปรัชญาตะวันตก เพื่อให้ชาวตะวันตกเข้าใจแนวความคิดของท่าน แม้จะเดินตามนักปราชญ์ชาวอินเดียรุ่นก่อนๆ เช่น ท่านศังกราจารย์ แต่ก็มีหลายแบบหลายอย่างที่ท่านเสนอขึ้นใหม่ และ เป็นของท่านเอง

แนวความคิดทางปรัชญาของดร.ราธกฤษณัน ที่โดดเด่นพอสรุปได้ดังนี้

1. มีทรรศนะมองโลกในแนวกว้าง



2. มีทรรศนะแนวสังเคราะห์ คือ รวมศาสนาและปรัชญาของตะวันออกให้เข้ากับตะวันตก รวมเจตนิยมและมนุษยนิยมของตะวันออกให้เข้ากับของตะวันตก

3. มีใจกว้างยอมรับอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และค่านิยมของโลกตะวันตก โดยถือเอามาเป็นแนวอธิบายหลักปรัชญาของท่าน

4. แนวโน้มทางปรัชญาที่สำคัญที่สุด คือ พัฒนาแนวจิตนิยมสัมบูรณ์ของอไทวตะ เวทานตะ ซึ่งถือหลักเอกนิยม เป็นจิตนิยมสัมบูรณ์แบบพลวัต คือ ยอมรับความจริงและความหมายของประสบการณ์หลายระดับหลายแง่

แนวความคิดทางปรัชญาของ ดร.ราธกฤษณัน ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากวรรณกรรมชั้นสูงของศาสนาฮินดู เช่น คัมภีร์พระเวท คัมภีร์อุปนิษัท คัมภีร์ภควัทคีตา ตลอดจนอรรถกถาของพรหมสูตรของท่านศังกราจารย์ ท่านรามานุช ท่านมัธวะ ท่านนิพารกะ เป็นต้น นอกจากนี้ คัมภีร์ของพุทธศาสนา เช่น ธรรมบท และคัมภีร์ศาสนาเชนก็มีอิทธิพลต่อท่านไม่น้อย คือ เป็นคัมภีร์ที่ทำให้ท่านมีทรรศนะกว้างไกลขึ้นกว่าทรรศนะทางศาสนาฮินดู ส่วนความรู้ทางตะวันตก ท่านได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางปรัชญาของเพลโต โพลตินุส ค้านต์ บรัดเลย์ แบร์กซอง และไวต์เฮด ในบรรดานักปรัชญาอินเดียร่วมสมัย ผู้ที่ท่านประทับใจมากที่สุด ได้แก่ รพินทรนาถ ฐากุร และคานธี ดังที่ท่านสารภาพออกมาว่า

“ในบรรดานักคิดชาวตะวันตก ข้อเขียนของเพลโต โพลตินุส คานต์ บรัดเลย์ และแบร์กซอง มีอิทธิพลต่อข้าพเจ้ามากที่สุด ข้าพเจ้ามีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับท่านรพินทรนาถ ฐากุล และท่านคานธี ซึ่งเป็นนักคิดร่วมสมัยชาวอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้านานเกือบ 30 ปี และข้าพเจ้าตระหนักถึงความสำคัญใหญ่หลวงที่ท่านให้แก่ข้าพเจ้า”

นอกจากได้รับอิทธิพลภายนอกดังกล่าวแล้ว แนวความคิดทางปรัชญาของ ดร.ราธกฤษณัน ยังออกมาจากอิทธิพลภายในตัวท่านอีกและเป็นอิทธิพลที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน เพราะท่านใช้ประสบการณ์ทางศาสนานี้เป็นข้อมูลทางปรัชญาของท่านมากที่สุด ผู้ศึกษาปรัชญาของท่านโดยรอบคอบ จะพบความจริงข้อนี้ได้เอง เพราะฉะนั้น ปรัชญาของท่านจึงเรียกกันว่าปรัชญารหัสยะ (a mystic philosophy)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หลักปรัชญา


1. แนวโน้มทางปรัชญาสมัยใหม่ที่มีต่อศาสนา

ดังกล่าวไว้แล้วว่า ปรัชญาของดร.ราธกฤษณัน ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งประสบการณ์ทางศาสนา ท่านจึงต้องการปกป้องศรัทธาทางศาสนาให้คงอยู่ โดยพิจารณาข้อโต้แย้งต่างๆ ที่ได้คัดค้านศาสนา แล้วให้ข้อวินิจฉัยว่า ข้อโต้แย้งเหล่านั้นมีเหตุผลฟังได้หรือไม่ เนื่องจากสมัยนี้ เป็นสมัยแห่งเหตุผล ซึ่งแน่นอนจะต้องมีข้อขัดแย้งกับศาสนาที่นับถือกันสืบมาเป็นประเพณี และเคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ในสมัยกลาง แนวโน้มทางปรัชญาที่โต้แย้งกับศาสนา อาจจำแนกออกเป็นประเภทดังนี้

อเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินิยม (Naturalistic Atheism)

เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ คือผู้ให้ทรรศนะเกี่ยวกับอเทวนิยมฝ่ายธรรมชาติไว้ และพยายามจะล้มล้างความเชื่อหรือศรัทธาทางศาสนาทั้งปวงให้หมดสิ้นไป ในปรัชญาของเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ กล่าวถึงโลกไว้ว่า โลกประกอบด้วยอะตอมหรือพลังงาน ซึ่งไม่แตกต่างกับส่วนประกอบของมนุษย์พลังงานอันไม่มีชีวิตจิตใจเหล่านี้แหละประกอบกันเข้าเป็นโลกหรือเอกภพ มนุษย์เป็นผลพลอยได้ของพลังงานเหล่านี้ โลกอาจสลายตัวลงได้เพราะธาตุธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและแตกสลายออกจากกัน มนุษยชาติเป็นสัตว์ที่โง่เขลาเบาปัญญา เกรงกลัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง คือความเจ็บ ความตาย และความพินาศฉิบฉาย พวกเขาจึงสร้างศาสนาขึ้นเพื่อปลุกปลอบใจให้หลบหนีความจริงของโลก คือ ความทุกข์และความพินาศฉิบหายดังกล่าว ความน่ากลัวของโลกก่อให้เกิดความกลัวขึ้นในมนุษย์ เบอร์ทรันด์ รัซเซลล์ กล่าวว่า “ทรรศนะของข้าพเจ้าในเรื่องศาสนา ก็คือทรรศนะของลูครีติอุส ข้าพเจ้าถือว่า ศาสนาเป็นเชื้อโรคอย่างหนึ่งเกิดความกลัว และเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ของมนุษย์” มนุษย์ไม่สามารถเผชิญหน้ากับความจริง เขาจึงคิดฝันสร้างพลังทิพย์ พระจิต และพระเป็นเจ้าขึ้นมา

ดร.ราธกฤษณันได้วิจารณ์ทรรศนะของอเทวนิยมดังกล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่อ An Idealist View of Life ตอนหนึ่งว่า “อเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินิยมนี้ ถือว่า ศาสนามี 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ได้แก่ การนับถืออุดมคติ ว่าเป็นเพียงอุดมคติ และส่วนที่ 2 ได้แก่ การนับถือสิ่งที่ปรากฏจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจริงหรือสิ่งที่มีอยู่ ส่วนที่ 1 ว่าด้วยความดี แต่ไม่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่ของวัตถุแห่งความดีนั้น และส่วนที่ 2 ว่าด้วยความมีอยู่ของวัตถุแห่งความดี แต่ไม่เกี่ยวข้องกับความดี” อุดมคติและคุณค่าทางศาสนาทั้งหลายล้วนเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง คือเป็นเพียงอุดมคติไม่ใช้ความจริง

ท่านกล่าวต่อไปว่านักธรรมชาตินิยมนั้นไม่มีศรัทธาในชีวิต เขาเป็นทุทรรศนนิยมที่หาความสุขในโลกไม่พบ ตามทรรศนะของเขาโลกนี้เติมไปด้วยความทรมาน ความตาย โรคภัย และความเจ็บป่วยแต่พวกอเทวนิยมเหล่านี้มีความอดทน เขารู้สึกเฉยๆ ต่อความทุกข์และความทรมานทางกาย เขาสอนให้ทุกคนไม่ปรารถนาสิ่งใด ไม่กลัวอะไร ไม่ให้มีสมบัติอะไร และให้อดทนต่อความทุกข์ยากทั้งหลาย

เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์เห็นว่าศิลปะก็เป็นอีกหนึ่งที่มนุษย์คิดสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อหลบหลีกจากความน่ากลัวของความจริง ศิลปะอาจทำหน้าที่แทนศาสนาได้ เราจะต้องทิ้งศาสนา แล้วสร้างแหล่งหลบภัยหรือที่พึ่งอย่างอื่นขึ้นแทน เช่นศิลปะ ซึ่งอาจทำให้เราสงบระงับได้และอาจดึงใจเราให้ไปสนใจจดจ่ออยู่ศิลปะนั้นได้ ศิลปะอาจทำให้คนนึกฝันเห็นเทวสถานเล็กๆ แล้วสร้างขึ้น ณ ที่ที่เขาสามารถไปบุชาอุดมคติของเขาได้ตามต้องการ

ดร.ราธกฤษณันกล่าวถึงนักคิดพวกนี้ไว้หนังสือเล่มเดียวกันนั้นว่า “พวกอภิชนาธิปไตยทางพุทธิปัญญาของสมัยเรานับถือลัทธิอย่างหนึ่งเป็นลัทธิที่ผสมกันระหว่างทรรศนะต่างๆ ทางธรรมชาตินิยมลัทธิสโตอิก ลัทธิเปกัน (ลัทธิที่ไม่เชื่อถือศาสนา) และทุทรรศนนิยม”

ดร. ราธกฤษณันตั้งข้อสังเกตว่า อเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานทางอภิปรัชญาที่ผิดๆ คือมุ่งแสดงเหตุผลมากกว่ามุ่งแสวงหาทางบรรลุความจริง เหตุผลที่ยกมาคัดค้านศาสนาเกิดจากความเลื่อมใสในศรัทธาและหลักการของศาสนานั้น ปัญญาขั้นเหตุผลไม่สามารถเข้าถึงได้ พวกนี้จึงไม่รู้ซึ้ง ดร. ราธกฤษณันจึงวิจารณ์ทรรศนะของอเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินิยมไว้ดังนี้

1. ลัทธินิยมแบบสโตอิกและเปกัน (the stoic-pagan creed) ของอเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินิยมนั้นยังอ่อนมาก (ฟังไม่ขึ้น) เพราะศรัทธาในชีวิตและโลกเป็นสารัตถะหรือเนื้อแท้ของมนุษย์ คนที่ถือว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์โศกโรคภัย จะไม่มีความหวังใดๆในโลกหน้าหรือกาลข้างหน้า เพราะเขาแจ้งจุดหมายปลายทางและอุดมคติของชีวิตดีแล้ว พวกอเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินิยมอยู่ในโลกนี้โดยปราศจากความหวังและประณิธาน มนุษย์เราย่อมจะหวังและตั้งประณิธานไว้เพื่อพัฒนาให้บรรลุถึงชีวิตที่สูงขึ้น เขาตระหนักดีว่าอะไรคือจุดหมายของเขาแล้วสร้างสรรค์โครงสร้างสังคมให้ดีขึ้น แต่พวกอเทวนิยมฝ่ายธรรมชาตินิยมนี้ขาดศรัทธาในเรื่องดังกล่าว

ดร.ราธกฤษณัน ให้ข้อสังเกตว่า ในโลกนี้มีกฎเกณฑ์และหลักเกณฑ์แต่ละหน่วยของธรรมชาติรวมกันได้ด้วยกฎเกณฑ์และหลักเกณฑ์ขั้นสูงของจักรวาล หน่วยของธรรมชาติหน่วยหนึ่งๆ สะท้อนให้เห็นถึงหลักเกณฑ์ของเอกภาพ เอกภพนี้คือจุลจักวาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นมหาจักวาลหรือสากลจักรวาลได้ โลกทั้งโลกเป็นเอกภาพอย่างหนึ่ง เอกภพ ชีวิต และจิต ไม่ใช่สมบัติจรของระบบโลก แต่เป็นส่วนต่างๆของระบบโลกนั้น ดังที่ดร.ราธกฤษณัน กล่าวไว้ว่า “ถ้ามีกฎ มีระเบียบในเอกภพ ชีวิตจิตใจของเราก็ไม่ใช่เพียงสมบัติจรของเอกภพนั้น แต่ เราสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับเอกภพนั้นและมีถิ่นกำเนิดอยู่ในนั้นด้วย”

2. ที่พวกอเทวนิยมเห็นว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์โศก คนเราต้องการหลบหลีกหรือเอาศาสนาเป็นที่พึ่ง ศาสนาจึงเป็นที่พึ่งของผู้ไม่กล้าสู้คนจริง และอยู่อย่างคนเพ้อฝัน ดร.ราธกฤษณัน เห็นว่า พวกนี้ให้ภาพของโลกอย่างผิดๆ อันที่จริงโลกมีทั้งความสุขสำราญ ความดี ความทุกข์โศก มนุษย์หาได้ต้องการศาสนาเพื่อหนีหน้าความจริงไม่

ข้อเสนอของพวกอเทวนิยมที่ว่า ความสุขเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตนั้น นักปรัชญาทั้งหลายไม่อาจยอมรับแน่นอน คนเราอยู่เพื่อจุดหมาย เป้าหมายจุดประสงค์ เราไม่ได้ถือว่าความสุขเป็นเป้าหมายของชีวิต เพราะในการดำเนินชีวิตเพื่อให้บรรลุจุดหมายนั้น เราก็ยินดีที่จะเผชิญกับความทุกข์ความลำบากนานาชนิดคนใดทำงานตามคำบงการของความสุขทางเนื้อหนังและเพื่อหลบหลีกทุกข์เท่านั้น คนนั้นชื่อว่ายังอยู่ในระดับต่ำ

3. ที่เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์กล่าวว่า ความกลัวเป็นบ่อเกิดของศาสนานั้นเป็นญัตติที่ผิดอย่างร้ายกาจ เราถามว่า อะไรเป็นของความกลัว คำตอบคือ สติปัญญาเป็นเหตุของความกลัว หมายความว่า มนุษย์เกรงกลัวธรรมชาติจะให้โทษ ก็เพราะเขาคิดเห็นด้วยสติปัญญาว่า ธรรมชาติเป็นศัตรูกับเขา ธรรมชาติแตกต่างไปจากเขาความคิดที่เป็นทวินิยมในเรื่องนี้แหละเป็นเหตุหรือบ่อเกิดของความกลัวนี้แสดงว่าสติปัญญาที่ไม่สมบูรณ์ที่มีความจำกัดนี้เองเป็นเหตุให้สร้างทวิภาพระหว่างตัวเรากับวัตถุหรือมนุษย์กับธรรมชาติ ศาสนาช่วยขจัดความกลัวโดยสอนให้รู้แจ้งตนว่า มีความผูกผันเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวระหว่างตัวเรากับธรรมชาติและสิ่งทั้งหลาย ศาสนาสอนให้เราเข้าใจธรรมชาติให้ลึกซึ้งกว่าสติปัญญาหรือพุทธิปัญญา เราจึงรู้ซึ้งถึงสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เมื่อใดมนุษย์ได้ประสบการณ์ทางศาสนา เมื่อนั้นเขาจะรวมเข้ากับเอกภพอย่างแนบแน่น ความเห็นแบ่งแยกระหว่างตัวเขากับโลกจะสูญหายไปทันที

4. อเทวนิยม หาใช่ลัทธิที่ลึกซึ้งไม่ เป็นเพียงระดับสติปัญญาเท่านั้น คนที่มีความรู้ขั้นสติปัญญาหรือพุทธิปัญญานี้ไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมชั้นสูงได้เลย สัจธรรมชั้นสูงนั้นต้องใช้ประสบการณ์ชั้นสูง เช่นโพธิญาณจึงจะเข้าถึงได้ ปรัชญาของเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์หาได้พิสูจน์ถึงความล้นเหลวของมนุษย์ไม่ แต่พิสูจน์ถึงความไม่เพียงพอของพุทธิปัญญาที่จะเข้าถึงได้ ปรัชญาของเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์หาได้พิสูจน์ถึงความล้มเหลวของมนุษย์ไม่ แต่พิสูจน์ถึงความไม่เพียงพอของพุทธิปัญญาที่จะเข้าถึงศาสนานั้นเอง

5. อเทวนิยมฝ่ายธรรมชาติคัดค้านความเชื่อเรื่องสวรรค์ในศาสนาซึ่งเป็นโลกที่อยู่เหนือและเลยธรรมชาติไป ในเรื่องนี้ ดร.ราธกฤษณันให้ความเห็นไว้ว่า ไม่มีการตัดแบ่งระหว่างธรรมชาติกับเหนือธรรมชาติ เพราะเหนือธรรมชาติไม่มีอะไรแตกต่างกับธรรมชาติ พระเป็นเจ้าหรือพรหมันหาได้ขัดแย้งกับธรรมชาติและหาใช่เป็นสัจธรรมที่แตกต่างกับธรรมชาติไม่ เพราะพรหมันสำแดงองค์ออกมาในธรรมชาติ ธรรมชาติจึงเป็นกายของพรหมัน ผู้เข้าถึงณานสมาบัติแล้ว จะขจัดเครื่องกีดขวางหรืออุปสรรคระหว่างอันติมสัจกับปรากฏการณ์และธรรมชาติกับจิต พรหมันหรืออันติสัจนี้สำแดงองค์ออกมาในรูปแบบต่างๆ ของธรรมชาติและจิต

อไญยนิยม (Agnosticism)

อไญยนิยม ถือว่ามนุษย์เราไม่สามารถเข้าถึงความลึกลับของศาสนาได้ ความจริงแท้ศาสนาจึงเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครรู้และรู้ไม่ได้แม้อไญยนิยมจะไม่ปฏิเสธว่า ความจริงไม่มีอยู่ก็ตาม แต่เขาก็เห็นว่าความรู้ที่จะเข้าถึงความจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ มนุษย์ไม่รู้จักบ่อเกิดของชีวิตและเป้าหมายของชีวิต การเริ่มและการสิ้นสุดของชีวิตยังไม่มีใครรู้และรู้ไม่ได้ เรารู้จักโลกเพียงบางส่วน คือรู้ส่วนกลาง (ส่วนที่ปรากฏในปัจจุบัน ส่วนที่เป็นมาไม่ได้ปฏิเสธความจริงแท้หรืออันติมสัจนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร

ดร. ราธกฤษณัน ถามว่า อไญยนิยมแน่ใจได้อย่างไรว่า ความจริงที่ยังรู้ไม่ได้ปัจจุบันจะยังคงเป็นสิ่งที่ใครๆ ไม่รู้และรู้ไม่ได้ไปตลอดกาล อาจมีผู้รู้ในอนาคตก็ได้ มนุษย์รู้ว่าเขาเป็นคนโง่แต่ก็มีเอกสิทธิ์พิเศษ อไญยนิยมกำหนดขอบเขตจำกัดของความรู้และความไม่รู้ของมนุษย์ขึ้นเอง ถ้าอไญยนิยมเชื่อว่าความรู้ที่เป็นอุดคติสามารถกลายเป็นจริงได้ ก็ไม่ควรห้อมมิให้คนมุ่งมั่นแสวงหาความรู้ในเรื่องความจริง

วิมตินิยม (Scepticism)

วิมตินิยม ตั้งข้อสงสัยในระบบปรัชญาต่างๆ ไม่ยอมรับว่า ระบบปรัชญาใดบ้างถูกต้องน่าเชื่อ เขาได้รับการอบรมให้เชื่อระบบความคิดระบบใดระบบหนึ่งเหมือนกัน แต่เขายังไม่พบว่า ระบบใดน่าเชื่อไม่ว่าปรัชญา ศาสนา ศิลปะ หรือรัฐศาสตร์ รบบความคิดที่เขาสนใจเป็นพิเศษ คือศาสนา แต่เนื่องจากเขาเห็นว่า ในขณะนี้ยังไม่มีศาสนาใดที่น่าเชื่อ เพราะยังมีที่สงสัยอยู่หลายประเด็น เขาจึงไม่เชื่อศาสนาใดเลย

สมัยของวิมตินิยมโดยทั่วไปเป็นสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อวัฒนธรรมเฮเลนเสื่อมสลายลง วัฒนธรรมซอปิสต์อุบัติขึ้น ระหว่างนั้นเอง วิมตินิยมก็เกิดขึ้นต่อต้านคัดค้านความเชื่อทางศาสนาที่สืบทอดกันมาเป็นปรัมปราประเพณี โดยมุ่งขจัดความเชื่ออันไม่มีเหตุผลเหล่านี้ แต่ดร.ราธกฤษณันให้ทรรศนะว่า ไม่มีวิมตินิยมใดคงความสงสัยไปตลอดกาล กล่าวคือ เมื่อเขาไม่ยอมรับความเชื่อเก่าๆ เขาก็คิดสร้างความเชื่อใหม่ขึ้นแทน หรือไม่ก็ยอมรับความเชื่อใหม่ๆ อื่นที่มีเหตุผลควรเชื่อ เพราะพวกวิมตินิยมทั่วไปก็มีใจรักความจริงและมุ่งแสวงหาความจริง ถ้าพบความจริงที่ตรงใจ ความสงสัยก็มลายไป วิมตินิยมของเขาก็ย่อมสุดสิ้นลง เช่นพวกโปรเตสแตนต์ที่ต่อต้านศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ในที่สุดเขาก็ตั้งนิกายขึ้นมาใหม่คือนิกายโปรเตสแตนต์ ข้อนี้แสดงให้เห็นชัดว่า การปฏิเสธไม่ใช่เป็นเพียงการปฏิเสธ แต่มีการบอกเล่าหรือการเสนอข่อคิดเห็นใหม่ขึ้นแทนที่ด้วยฉะนั้น วิมตินิยมที่ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินการเพื่อพิสูจน์หาความจริง เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ดังเช่นที่เดส์กาตส์ใช้ได้ผลมาแล้ว

มนุษยนิยม (Humanism)

สมันใหม่เป็นสมัยแห่งเหตุผลและสมัยวิทยาศาสตร์ เป็นสมัยที่ผู้คนขจัดความเชื่อต่างๆ ทั้งที่เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์และความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนความเชื่อตามตำรา โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์จะไม่ยอมเชื่อรากฐานหรือภูมิหลังของศาสนาใดๆเลย และไม่คิดสร้างศาสนาใหม่ที่ตรงกับใจของตนขึ้นมาแทนที่ด้วย ต่างกับพวกอไญยนิยมและพวกวิมตินิยม ซึ่งปฏิเสธศาสนาตามประเพณีนิยม แต่สร้างที่พึ่งทางใจขึ้นมาเอง นั่นคือ มนุษยนิยมแบบโลกียวิสัย (secular humanism) พวกนี้มีทรรศนะว่า โบสถ์ก็ดี จารีตประเพณีก็ดี พิธีกรรมก็ดี ความเชื่อต่างๆ ก็ดี ล้วนเป็นเท็จหรือไม่มีความหมาย มนุษย์เป็นผู้เจริญสูงสุดในโลก การยกระดับของมนุษย์ให้สูงขึ้น จำต้องอาศัยชีวิตแบบโลกๆ ที่สมบูรณ์ มีทรัพย์สมบัติมากพอและมีความเสมอภาคกัน โดยนัยนี้ พวกมนุษยนิยม จึงก้าวเลยวิมตินิยมไป กลายเป็นผู้มีแบบแผน ของชีวิตความเป็นอยู่ คือ ต้องการบริการมนุษย์ ต้องการสมภาพ ภราดรภาพ และเสรีภาพ มนุษยนิยมจึงเข้ามาแทนที่ศาสนาสำหรับผู้ไม่นับถือศาสนา ผู้เป็นนักเหตุผลนิยม และนักสังคมนิยมในสมัยปัจจุบัน

พวกมนุษยนิยมถือว่า ทฤษฎีทางศาสนานั้นเป็นเพียงการเก็งหรือการคาดคะเนความจริง หรือเป็นเครื่องมือมอมเมา คนยากไร้และคนชั้นต่ำ ความจริงของศาสนา เราไม่เชื่อว่ามีจริง แต่ชีวิตเรา เราเชื่อแน่ว่ามีจริง เราจึงต้องเคารพนับถือชีวิต ไม่เคารพศาสนา ไม่เคารพธรรมชาติ

พวกมนุษยนิยมถือว่า พระพุทธเจ้า ขงจื๊อ คานต์ พระเยซูคริสต์ และศาสดาของศาสนาอื่นๆ ตลอดจนผู้ก่อตั้งปรัชญา ล้วนเป็นนักมนุษยนิยมผู้ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น

ดร.ราธกฤษณันได้วิจารณ์มนุษยนิยมไว้ดังนี้

(1) มนุษย์มีความปรารถนาจะเข้าถึงพระเป็นเจ้า เนื่องจากการได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติที่เป็นวัตถุนั้นไม่อาจทำให้มนุษย์พึงพอใจ เขาจึงมีประณิธานที่จะเข้าถึงพระเป็นเจ้า คือติดต่อทางใจกับพระเป็นเจ้า และเปลี่ยนสภาพของจิต ชีวิต และร่างกายที่เป็นโลกีย์ให้กลายเป็นเทพมนุษยนิยมมุ่งสร้างมนุษย์แบบโลกียะคือ ให้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ และมีบุคลิกภาพสูงขึ้น แต่มนุษย์ต้องการเพียงเท่านี้หรือก็เปล่า เขายังต้องการมากกว่านั้น คือต้องการพัฒนาบุคลิกภาพให้เป็นเทพและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเป็นเจ้า เพลโต และอริสโตเติล ผู้กำเนิดมนุษยนิยมตะวันตก ก็ตระหนักดีว่า ความปรารถนาแห่งจิตนั้นไม่ อาจระงับได้ด้วยทรัพย์สมบัติทางวัตถุ

จิต (อาตมัน) ของมนุษย์เป็นภาวะนิรันดรเป็นอมตะ จุดหมายปลายทางของจิตจึงไม่ใช่ชีวิตนี้ ชีวิตเดียว มนุษย์เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ที่ไม่สมบูรณ์นั้นต้องการบรรลุถึงความสมบูรณ์ คือภาวะที่จิตก้าวขึ้นสูงเหนือร่างกาย และพบความสงบสุขในการเข้าร่วมกับพระเป็นเจ้า จึงประสงค์จะพัฒนาจิตให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฎ ที่เรียกว่าเข้าถึงโมกษะ แต่มนุษยนิยมถือว่า มนุษย์ไม่สนใจกับกำเนิดทิพย์ของมนุษย์ ดังที่ ดร.ราธกฤษณันกล่าวว่า “กำเนิดของมนุษยภาวะอยู่ในโลกที่เรามองไม่เห็น (โลกทิพย์) และเป็นโลกเที่ยงแท้ถาวร จุดหมายของมนุษย์หาได้จำกัดอยู่แต่ช่วงเวลา ที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เท่านั้นไม่ มนุษนิยมก็คือ เหตุผลนิยมนั่นเอง และเพิกเฉยหลักการสำคัญในชีวิต ซึ่งไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยพุทธิปัญญา

มนุษย์จะเข้าถึงโมกษะหรือความหลุดพ้นจากสังสารวัฎได้ก็โดยปฎิบัติตามหลักการศาสนา มีปัญหาว่า มนุษย์ต้องการจะพ้นทุกข์ ต้องการมีชีวิตร่างกายละจิตใจเป็นเทพหรือไม่ ถ้าต้องการ ศาสนาเท่านั้นที่จะช่วยได้ ไม่ใช่มนุษยนิยม

(2) มนุษยนิยมเห็นว่า สิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์ คือ ระเบียบวินัย ความสมบูรณ์ และความประสานสอดคล้องกันในชีวิต แต่ ดร.ราธกฤษณัน เห็นว่า สิ่งทั้งสามนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เข้าถึงพระเป็นเจ้าหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเป็นเจ้าเท่านั้น มนุษยนิยมถือว่าแรงดลใจตามธรรมชาติ กับเจตจำนงทางศีลธรรมของมนุษย์ขัดกัน เข้ากันไม่ได้ คือ แรงบันดลใจตามธรรมชาติ เป็นภาวะพื้นฐานของจิตมนุษย์ ซึ่งจะถูกเจตจำนงทางศีลธรรมเข้าแย่งหรือปราบให้หลบหายไป ถ้า ไม่มีเจตจำนงทางศีลธรรมเหนี่ยวรั้งไว้ แรงดลใจธรรมชาติจะชักนำบุคคลให้หนีห่างไปจากศีลธรรม แต่ ดร. ราธกฤษณันถือว่า ทรรศนะเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าแรงดลใจทางธรรมชาติกับเจตจำนงทางศีลธรรม ขัดกันและต่างก็เป็นภาวะอิสระ จะไม่มีความสมบูรณ์ และความประสานสอดคล้องในชีวิต ดังที่มนุษยนิยมสอนให้มนุษย์พัฒนาให้มีขึ้นในชีวิต ดร.ราธกฤษนัน กลับเห็นว่า ไม่มีทวิภาพระหว่างภาวะทั้ง 2 ชนิดนี้จริงๆท่านเน้นว่า เจตจำนงทางศีลธรรมเท่านั้นเป็นภาวะที่มีและเป็นอย่างเดียวกับพระเป็นเจ้าในคน ฉะนั้น เจตจำนงทางศีลธรรมเท่านั้นเป็นภาวะที่มีและเป็นอย่างเดียวกับพระเป็นเจ้าในคน ฉะนั้น เจตจำนงทางศีลธรรมจึงเป็นตัวการทำให้จิต (อาตมัน) ชีวิต และร่างกาย รวมกันอย่างสอดคล้อง

(3) พวกมนุษยนิยมถือว่า ทางสายกลางเป็นวิถีชีวิตตามหลักจริยธรรม ถ้าจะให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างการประพฤติพรตอย่างเคร่งครัดกับการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความใคร่ ความปรารถนา นักมนุษยนิยมจะไม่เลือกทั้ง 2 อย่าง แต่จะเลือกเอาทางสายกลางระหว่าง 2 อย่างนั้น ซึ่งเขาถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด และเป็นการปฎิบัติตามหลักศีลธรรมโดยแท้ แต่ ดร.ราธกฤษณัน เห็นว่า ทางสายกลางนั้นไม่ใช่กำหนดโดยง่าย ส่วนมากจะเข้าใจสลับสับสนกัน คือแยกไม่ได้ว่า ตรงไหนเป็นทางสายกลางจริงๆ เช่น ระหว่าง ความดี กับ ความชั่ว ความถูก กับ ความผิด การฆ่าสัตว์ กับ ไม่ฆ่าสัตว์ ตรงไหนล่ะที่เป็นกลาง หรือ เช่นระหว่าง มากเกินไป กับ น้อยเกินไป ตรงไหนเป็นกลาง ดร.ราธกฤษณัน เห็นว่า ทางสายกลางบางทีมิใช่ทางที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมเสมอไป เช่น บางพวกถือว่า กฎแห่งการล้างแค้น เป็นทางสายกลางระหว่าง ความไม่รุนแรง กับ ความรุนแรง ซึ่งไม่ใช่กลางจริงๆ อนึ่ง ทางสายกลางของพวกพ่อค้า แม่ค้า ก็คงหาได้ยากยิ่ง ดร.ราธกฤษณัน จึงเห็นว่า ผู้ปฎิบัติตามหลักศาสนาจนได้สติปัญญาญาณเท่านั้น จึงจะกำหนด แยกทางสายกลางออกจากทางสุดโต่ง 2 สาย ได้อย่างแน่นอน

(4) มนุษยนิยมไม่สามารถขจัดความโศกเศร้า และความทุกข์ให้ถอนรากถอนโคนออกไปได้ เป็นแต่เพียงการสร้างสังคมขึ้นมาอีกสังคมหนึ่งที่ไม่ขาดแคลนวัตถุ แต่หนีความตายไม่พ้น จึงต้องมีทั้งทุกข์ทั้งโศก อยู่ตลอดไป นักศาสนา เช่น โสเครตีส และพระเยซูเท่านั้นที่มีความสุข ขณะเผชิญหน้ากับความตาย เพราะท่านเชื่อในอมตวิญญาณในคน

(5) มนุษยนิยมเกี่ยวข้องกับคุณค่า กล่าวคือสอนให้เห็นคุณค่า เป็นภาวะนิรันดร แต่ศาสนาสอนให้เห็นความสัมพันธ์คุณค่า กับสัจธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างชีวิต มนุษย์กับภูมิหลังขั้นสุดท้ายของมนุษย์

(6) มนุษยนิยมที่บริสุทธิ์จริงๆ กับศาสนาหาได้ขัดกันไม่ แต่ต่างก็ช่วยให้บรรลุถึงความรู้แจ้งตน และช่วยบรรเทาความทุกข์ให้มนุษยชาติ ธรรมชาตินิยมถือว่า คนไม่ใช่ภาวะที่มีจิตใจเท่ากัน แต่ศาสนาถือว่า คนไม่ใช่เป็นภาวะที่มีชีวิตจิตใจเท่านั้นแต่ยังมีอาตมัน (วิญญาณ) ซึ่งสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพรหมันผู้เป็นเจ้าด้วย


ลัทธิสิทธิอำนาจ 

ลัทธิสิทธิอำนาจ คือ ลัทธิที่เชื่อถือในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปา คริสตจักร ศาสนพิธี และพิธีกรรมอื่นๆ ลัทธินี้ไม่เชื่อในความถูกต้องของเหตุผล จึงมักนำไปสู่ลัทธิทางไสยศาสตร์ หรือคติความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง เพราะไม่รู้ความจริงทางศาสนา

ในโลกตะวันตกสมัยโบราณ ประชาชนทั่วไปไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ไบเบิล เพราะใช้ภาษาละติน พระสันตะปาปาและพวกขึงใช้อำนาจเผด็จการทางศาสนา คือใช้วิธีบังคับให้เชื่อ ให้ทำตาม

ในอินเดียสมัยโบราณก็เหมือนกัน พวกพราหมณ์เท่านั้นที่เป็นพวกแก่เรียนประจำหมู่บ้าน ประชาชนต้องปฎิบัติตามโดยไม่รู้ซาบซึ้งถึงความหมายและสาระสำคัญของคัมภีร์ทางศาสนา แต่เขาก็เชื่อคำสอนทางศาสนาโดยไม่ต้องศึกษาหาข้อพิสูจน์ความจริง

ในสมัยใหม่ พวกที่ถือตัวว่า เป็นปัญญาชนไม่ยอมเชื่อทั้งศาสนาและลัทธิอำนาจหรือคติความเชื่อเครื่องรางของขลังว่า สามารถทำให้มนุษย์รับผลตามต้องการ แต่การปฎิเสธของพวกปัญญาชนส่วนมากก็เชื่อตามๆกันมา โดยไม่ได้ศึกษค้นคว้าอย่างจริงจังด้วยตนเอง

ดร.ราธกฤษณัน วิจารณ์ว่า การเชื่อตามเขาว่า กับการปฎิเสธตามเขาว่า เป็นการมองปัญหาด้านเดียวพอๆกัน เขาเห็นว่า คุณค่าของลัทธิอำนาจและลัทธิตามประเพณีที่ถือกัน สืบๆกันมา ก็ใช่ว่าจะไร้สาระเลยทีเดียว เพราะในลัทธิความเชื่อนั้นอย่างน้อยก็มีมรดกทางปัญญาของเชื้อชาติ เจ้าของลัทธินั้นๆ สะสมอยู่ด้วย เราคงไม่ปฎิเสธว่า ทุกคนเกิดมาในกองมรดก อันมหาศาลแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ที่สืบทอดต่อๆกันมาแต่อดีตกาล ฉะนั้นทางที่ดีควรยอมรับคุณค่าเหล่านี้ แต่ไม่ควรพอใจหยุดอยู่แค่นี้ ควรจะก้าวต่อไปถึงขั้นสูงสุด คือการพัฒนาจิตจนเข้าถึงความรู้แจ้งตน และเข้าถึงพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นจุดหมายของศาสนาอย่างแท้จริง 
***************************************************************

2. พุทธิปัญญากับอัตฌัตติกญาณ 

ลักษณะของพุทธิปัญญา 


พุทธิปัญญา คือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส เพราะพุทธิปัญญาเกี่ยวข้องกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส และวิเคราะห์ข้อมูลนั้น แล้วสรุปตัดสินเป็นความรู้ พุทธิปัญญาไม่สามารถรู้สิ่งจริงแท้หรือสัจธรรมสูงสุด เป็นแต่ทำหน้าที่แยกแยะคุณสมบัติต่างๆ ของสิ่งหนึ่งๆ ออกให้เห็นเด่นชัด และรู้ว่าคุณสมบัติเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร กฎทั่วไปก็กำหนดความสัมพันธ์ต่างๆนั้นเอง แต่ความรู้ในขั้นนี้เป็นความรู้ในเรื่องคุณสมบัติ ของวัตถุหรือสิ่งต่างๆ เท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ในตัววัตถุ หรือตัวสิ่งสิ่งนั้น เช่น นักวิทยาศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่ทางไฟฟ้า จริงๆ คืออะไร เขารู้เฉพาะเรื่องราว ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและผลของไฟฟ้าเท่านั้น เขาไม่มีประสบการณ์ตรงใน เรื่องสภาวะไฟฟ้า

พุทธิปัญญาเป็นเครื่องมือช่วยให้เรารู้ในสิ่งต่างๆที่สังเกตเห็นหรือรู้ได้ทางประสาทสัมผัส สิ่งที่อยู่เหนือประสาทสัมผัส พุทธิปัญญารู้ไม่ได้

พุทธิปัญญากับอัชฌัตติกญาณ

พุทธิปัญญา เป็นความรู้ระดับเหตุผลหรือระดับความคิด เกิดจากประสบการณ์ ทางประสาทสัมผัส หรือโดยอาศัยความรู้อื่น เป็นตัวกลางจึงสามารถทำให้เรารู้ความจริง แท้หรือสัทธรรมขั้นสูง ได้แต่เพียงผิวเผินคือรู้แค่คุณสมบัติของสัจธรรมเท่านั้น ไม่สามารถรู้สภาพอันแท้จริงของสัจธรรมได้ ส่วนอัชฌัตติกญาณ คือความรู้ขั้นสมบูรณ์ เกิดขึ้นแวบภายในโดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส หรือความคิด สามารถรู้แจ้งสัจธรรมภายในจิตใจเราได้ชัดเจน

*****************************************************************

3. ประสบการณ์ทางศาสนากับการแสดงออกให้ผู้อื่นรู้ตาม

   ดร. ราธกฤษณันนำเอาหลักปรัชญาที่ว่าด้วยประสบการณ์ทางจิตของท่านผู้รู้หลายท่านลัทธินิกายมาพัฒนาขึ้น เช่น ประสบการณ์ของโสกราตีส โพลตินุส (Plotinus) ออกัสติน (Augustine) โปริฟิรี (Poryphyry) ดันเต (Dante) บันยาน (Banyan) อันเดอร์ฮลล์ (Underhill) และนักปราชญ์ฮินดูจำนวนมาก ท่านเหล่านี้ได้ประสบการณ์ทางใจจิตขณะเข้าสมาธิแน่วแน่ ประสบการณ์ของท่านจึงไม่อาจปฏิเสธว่า เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะมีหลักฐานพยานให้อ้างอิงได้มาก ประสบการณ์ในเรื่องพระเป็นเจ้า (พระอีศวร) นั้น เกิดได้ทั่วไปแก่คนทุกคนผู้อบรมทางจิตได้ฌานหรือขณะมีสมาธิแน่วแน่ 

   ลักษณะของประสบการณ์ทางจิตของท่านผู้รู้เหล่านั้น มีดังนี้

(1) ประสบการณ์ทางจิต คือปฏิกิริยาของมนุษยบุคลิกภาพทุกส่วนที่มีต่อพระเป็นเจ้า กล่าวคือ เมื่อปัจเจกบุคคลได้รับการติดต่อกับพระเป็นเจ้า สมรรถพลหรืออินทรีย์ (faculty) ทั้งหมด ทั้งทางพุทธิปัญญา ทางศีลธรรม และทางอารมณ์ จะพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์

(2) พระเป็นเจ้าที่เราสัมผัสได้ทางประสบการณ์ทางจิต คือ สัต-จิต-อานันทะ กล่าวคือ ประสบการณ์ทางจิตเปิดเผยให้เรารับรู้ประจักษ์ว่า พระเป็นเจ้าคือภาวะที่กำหนดไม่ได้ ไม่มีรูปร่าง แพร่อยู่ทั่วไปเที่ยงแท้ถาวร มีลักษณะเป็นความสัตย์ และความสงบสมบูรณ์ชั่วนิรันดร์

(3) ประสบการณ์ทางจิตเป็นหน่วยรวมและอินทรียภาพกล่าวคือ ในขณะที่เราได้ประสบการณ์ทางจิตนั้น เราจะรู้ซึ้งถึงความจริงแท้เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าไปพร้อม ๆ กัน และรู้ว่าทุก ๆ สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยรวมคือพระเป็นเจ้า

(4) ประสบการณ์ทางจิตที่เห็นว่ามีเทพและเทวดาทั้งหลายนั้นเป็นประสบการณ์ขั้นต่ำกว่าประสบการณ์ขั้นที่ทำให้เรารู้ว่า เรารวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่าง คือพรหม

(5) ประสบการณ์ทางจิตทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จนถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด ซึ่งเท่ากับเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง คือเกิดเป็นเทพ

***************************************************************
4. ปรมัตถสัจหรือความจริงขั้นอันติมะ

ทรรศนะเรื่องพรหมัน
ดร. ราธกฤษณันให้ทรรศนะเกี่ยวกับพรหมันไว้ว่าพรหมันคือสิ่งสัมบูรณ์ (the Absoiute) ซึ่งมีลักษณะภาพเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ประกอบด้วยกัมมันตภาพ (activity) สัจภาพ (truth) และศักยภาพ (pothentiality) หรือพลัง (force) ลักษณภาพทั้ง 3 ประการนี้รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งแสดงว่าตัวพรหมันก็คือลักษณภาพทั้ง 3 ประการนั้นเองนอกจากนี้ท่านยังบรรยายไว้ว่า ลักษณภาพทั้ง 3 ประการที่รวมเข้าเป็นตัวพรหมันนี้ มีคุณสมบัติลักษณะพิเศษอีกหลายอย่าง เช่น ภาวะที่แพร่ออกไปพ้นหรืออยู่เหนือโลกนี้ คุณลักษณะนี้เรียกว่า อุตรภาพ (transcendent) เป็นภาวะเที่ยงแท้ถาวร (eternal) อยู่เหนือกาลและอวกาศ ทรรศนะดังกล่าวนี้ต่างกับของท่านศังกราจารย์แห่งอไทวตะ เวทานตะที่ถือว่า พรหมันเป็นภาวะบริสุทธิ์ว่างจากคุณลักษณะใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะตามทรรศนะของ ดร. ราธกฤษณันนั้น พรหมันเต็มไปด้วยศักยภาพ ซึ่งสำแดงออกมาเป็นพลังต่าง ๆ คือ พลังสร้างที่เรียกว่า พระพรหมาผู้สร้างโลก พลังรักษาที่เรียกว่า พระวิษณุหรือนารายณ์ผู้รักษาโลกและผดุงศีลธรรม และพลังทำลายที่เรียกว่า พระศิวะผู้ทำลายโลกพลังทั้งหมดนี้ แต่ละพลังท่านเรียกในภาษาอังกฤษว่า God ซึ่งจะขอแปลว่ามหาเทพ อันหมายถึงมหาเทพทั้ง 3 องค์ดังกล่าว เพราะ ฉะนั้นมหาเทพทั้ง 3 องค์นั้น ก็คือพลังของพรหมันหรือสิ่งสัมบูรณ์นั่นเองทรรศนะนี้ คล้ายกับของท่านรามานุชแห่งวิศิษฏาไทวตะ เวทานตะ

ทรรศนะเรื่องพรหมันกับมหาเทพ

ดร. ราธกฤษณันอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างพรหมันกับมหาเทพไว้ว่า พรหมันมีศักยภาพหาที่สุดมิได้ แต่มหาเทพแต่ละองค์มีศักยภาพแต่ละด้านและยังมีน้อยกว่าพรหมัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า มหาเทพก็คือ พรหมันที่แยกตัวออกมาเกี่ยวข้องกับโลก หรือจักรวาลนั่นเอง ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า “We call the supreme the Absolute, when We view it apart from the cosmos, God in relation to the cosmos. The Absolute is the pre-cosmic nature of God, and God is the Absolute from cosmic point 0f view” 
*****************************************************************
5. อาตมันกับโมกษะ
ดร. ราธกฤษณัน จำแนกอาตมันหรืออัตตา (self) ในคนเราออกเป็น 2 ชนิด คือ อาตมันสามัญหรือชั้นต่ำ กับอาตมันชั้นสูง อาตมันชั้นต่ำได้แก่ อินทรียภาพอันประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ดังที่ประจักษ์แก่เราทุกคนเมื่อ ส่วนอาตมันชั้นสูงได้แก่ ส่วนหนึ่งของสัต-จิต-อานันทะ หรือสัจจิทานันทะ อันเป็นเนื้อแท้ของพระเป็นเจ้าหรืออีศวร

คนทั่วไปรู้จักแต่เพียงอาตมันชั้นต่ำ คนที่ได้รับการศึกษาสูงขึ้นจะรู้ว่าอาตมัน 2 ชนิดแยกกัน แต่คนที่ปฏิบัติตามหลักศาสนาคือรักษาศีลและเจริญภาวนา (สมาธิ) จนได้ประสบการณ์ทางจิตขั้นสูงจะเห็นประจักษ์ว่า อาตมันชั้นต่ำกับอาตมันชั้นสูงเป็นอาตมันเดียวกันและถ้ารู้สึกซึ้งลงไปอีกว่า อาตมันนี้เป็นอย่างเดียวกับอีศวรหรือพระเป็นเจ้า ถือว่ารู้สูงสุด เมื่อรู้ซึ้งถึงขั้นนี้ ท่านเรียกว่า รู้แจ้งตน (selfrealization) ผู้รู้แจ้งตนอย่างนี้ถือว่าเข้าถึงโมกษะหรือความหลุดพ้นแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เป็นชีวินสมบูรณ์แบบคือเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นเทพในร่างมนุษย์ กลายเป็นอภิมนุษย์ (superman) ผู้ไม่มีกิเลสตัณหา ไม่มีอุปทาน มีใจกว้าง ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นตลอดไป

*****************************************************************
6. กรรรมกับการเกิดใหม่ 

กรรม แปลตามตัวอักษรว่า การกระทำ การกระทำที่ดี เรียกว่า กรรมดี การกระทำที่ชั่ว เรียกว่า กรรมชั่ว กรรมใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมส่งผลให้แก่อินทรียภาพของผู้ทำและสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน ผลกรรมที่ส่งให้แก่อินทรียภาพของผู้ทำนั้น จะถูกเก็บไว้ในจิต เป็นปัจจัยปรุงแต่งจิตให้คิดดี หรือคิดชั่วไปตามลักษณะของกรรมนั้น ๆ ผลกรรมที่ส่งให้แก่สิ่งแวดล้อมก็ทำให้สิ่งแวดล้อมดีหรือเลวตามลักษณะของผลกรรมเช่นนั้น เช่นในเรื่องป่าไม้ ถ้ามีคนเห็นแก่ตัวมาก ก็จะตัดไม้ทำลายป่าจนหมดสิ้น ทำให้เกิดความแห้งแล้งตรงกันข้าม ถ้ามีคนเห็นแก่ตัวรวมกันมาก ก็จะรักษาป่าไม้ไว้ทำให้เกิดต้นน้ำลำธาร ซึ่งส่งผลให้เกิดความชุ่มชื้น แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ดังนี้เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดร. ราธกฤษณันเห็นว่าผลกรรมที่มีต่ออินทรียภาพกับที่มีต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ไม่เท่ากัน คือที่มีต่อสิ่งแวดล้อมนั้นสั้นกว่า หมายความว่า ให้ผลเฉพาะแต่ชาตินี้เท่านั้น แต่ที่มีต่ออินทรียภาพนั้นสามารถสืบต่อไปถึงชาติหน้า หรือชาติต่อ ๆ ไปได้อีกนั่นคือทำให้เวียนตายเวียนเกิดใหม่อยู่เรื่อยไปจนกว่าจะหมดกรรม

ดร. ราธกฤษณันตั้งข้อสังเกตไว้ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจกฎแห่งกรรมไม่ตรงตามความเป็นจริง กล่าวคือ บางพวกเข้าใจว่า “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วเสมอไป” และบางพวกเข้าใจว่า “กรรมดีส่งผลให้ได้รับความสำเร็จ กรรมชั่วส่งผลให้ได้รับความล้มเหลว”

ดร. ราธกฤษณันพยายามขจัดความเข้าใจผิดเหล่านี้โดยเสนอแนวความคิดใหม่ดังนี้

(1) อย่านำเอากฎแห่งกรรมไปปนกับทฤษฎีทางกฎหมายที่ว่า ทำดีได้รับรางวัล ทำชั่วได้รับโทษ หรือทฤษฏีของพวกคติสุขารมณ์ (hedonist) ที่ว่า ความสุขเป็นยอดแห่งความปรารถนา ทุกคนจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความสุข ฉะนั้น เมื่อทำอย่างไรได้รับรางวัลหรือความสุข เขาจึงถือว่า การกระทำนั้นแหละคือกรรมดี ดร. ราธกฤษณันกลับเห็นว่าผลแห่งกรรมดีไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ความสุขทางกาย และผลแห่งกรรมชั่วก็ไม่ใช่โทษหรือความทุกข์ทางกาย แต่หมายถึงผลที่ทำให้จิตใจของผู้ทำพัฒนาสูงขึ้น หรือทำให้เสื่อมทรามต่ำลงนั่นเอง

(2) อย่าเข้าใจผิดว่า กรรมดีส่งผลให้ได้รับผลสำเร็จ กรรมชั่วส่งผลให้ได้รับความล้มเหลว เพราะจะเป็นความเชื่อถือทำนองเดียวกับคำว่า เคราะห์ดี เคราะห์ร้ายไป ดร. ราธกฤษณันเห็นว่า เคราะห์ร้ายมิได้เกี่ยวเนื่องกับบาปโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับวิธีการที่บกพร่องหรือผิดพลาดต่างหาก จึงทำให้ได้รับความล้มเหลวหรือหายนะ

*****************************************************************
7. สสาร ชีวิต จิต และอัตพิชาน

ทรรศนะเรื่องสสาร

ดร. ราธกฤษณันอธิบายเรื่องสสารไว้ว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีปรมาณูรุ่นก่อนที่ถือว่า สสารประกอบด้วยปรมาณูหรืออะตอมต่าง ๆ อะตอมคือสิ่งที่มีลักษณะคงที่ ไม่มีกิริยา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นภาวะนิรันดร แบ่งย่อยออกไปอีกไม่ได้แล้ว มีอยู่ในอวกาศและกาล (space and time) ท่านเห็นด้วยกับทรรศนะทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าอะตอมไม่ใช่สิ่งคงที่ และสามารถแบ่งย่อยออกไปอีกได้ กล่าวคือ จาก การค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์พบว่า อะตอมประกอบด้วยโปรตอน (proton) และอิเล็กตรอน (electron) ซึ่งมีลักษณะเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาไม่ใช่คงที่ ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า “สสารคือรูปแบบหนึ่งของพลังงานวัตถุกายภาพทั้งหลาย คือเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้น วัตถุเหล่านั้นหาได้คงทนถาวรไม่ แต่เป็นเพียงจุดหมุนจุดหนึ่งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง ธรรมชาติ คือเหตุการณ์ที่สลับซับซ้อน เป็นโครงสร้างของกระบวนการทั้งหลาย”

ดร. ราธกฤษณันอ้างถึงคำอธิบายเรื่องอะตอมของลอร์ดเออร์เนสต์รัทเทอร์ฟอร์ด (Lord Ernest Rutherford) ชาวอังกฤษ ที่ว่า “อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่มีประจุไฟฟ้าบวกและมีอิเล็กตรอนที่มีประจุไฟฟ้าบวกและที่มีอิเล็กตรอนที่มีประจุไฟฟ้าลบเคลื่อนที่อยู่โดยรอบ” อะตอมแต่ละตัวก็คือโครงสร้างหนึ่ง ๆ ซึ่งประกอบด้วยอิเล็กตรอนและโปรตอนจำนวนมาก มีความซับซ้อนต่าง ๆ กัน สมบัติทางเคมีของธาตุหนึ่ง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของอิเล็กตรอนและโปรตอน จำนวนโปรตอนที่นิวเคลียสดังกล่าว คือเลขเชิงอะตอมของธาตุ โปรตอนและอิเล็กตรอนเองก็เป็นแหล่งเกิดการแผ่รังสีหรือกลุ่มคลื่นและเป็นชุดของเหตุการณ์ชุดหนึ่ง ๆ ที่แผ่ออกไปจากศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลงในอะตอมเป็นไปแบบไม่ต่อเนื่อง กล่าวคือ อิเล็กตรอนต่าง ๆ ซึ่งเคลื่อนที่อยู่โดยรอบนั้น อาจกระโดดข้ามอิเล็กตรอนที่ขวางคั่นอยู่ในวงโคจรสู่อิเล็กตรอนในวงโคจรอื่นก็ได้ เป็นอยู่อย่างนี้โดยปรกติ

ข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่สำคัญ 2 ประการ คือ

(1) ไม่มีอะตอมหรือธาตุที่เป็นหน่วยเดียว แม้แต่อะตอมซึ่งเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดของธาตุก็เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ อนุภาคนั้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา หาได้หยุดนิ่งไม่ มีลักษณะเป็นพลวัต (dynamic) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า อะตอมก็คือโครงสร้างของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้น

(2) การเปลี่ยนแปลงในอะตอมหนึ่งๆ เกิดขึ้นแบบไม่ต่อเนื่องเกิดขึ้นทันทีทันใดไม่อาจทำนายล่วงหน้าได้

อนึ่งในเรื่องราวอวกาศและกาล ดร. ราธกฤษณัน เห็นด้วยกับการค้นคว้าของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่อธิบายว่า อวกาศและกาลเป็นนามธรรม เกิดจากเหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมชุดหนึ่ง ไม่มีอวกาศที่ถือกันว่า มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลหาขอบเขตไม่ได้ เป็นที่อยู่ของอะตอมดุจกล่องใส่ของ กาลก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เป็นที่นามธรรมเกิดจากเหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมแล้ว ก็ไม่มีอยู่จริง กล่าวคือ อนุกรมแห่งเหตุการณ์นั้นมีกาลเป็นคุณภาพ นอกจากนั้นแม้ความเป็นสสารก็เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นจากชุดของเหตุการณ์ที่เป็นรูปธรรมเช่นกัน หมายความว่า ทั้งอวกาศ กาล และความเป็นสสาร มีขึ้นพร้อมๆกัน ดังที่ดร. ราธกฤษณัน กล่าวไว้ว่า “อวกาศ กาล และสสารเป็นนามธรรมเกิดจากข้อเท็จจริงทางรูปธรรม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ชุดหนึ่ง นามธรรมทั้งสามนี้อยู่ด้วยกันในสิ่งที่เป็นจริงทางรูปธรรม”

ข้อความข้างต้นนี้แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่สำคัญอีก 2 ประการ คือ 1 สสาร คือระบบพลังงาน ซึ่งมีอยู่จริงและมีลักษณะเป็นพลวัตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีกิริยา 2 ธรรมชาติ คือ สิ่งที่ประกอบขึ้นจากคลื่นพลังงานในจักรวาล ถือว่าเป็นระบบที่เชื่อมโยงกันภายในระบบหนึ่ง ความมีอยู่ของสสารขึ้นอยู่กับอวกาศ กาล เหตุการณ์และผู้สังเกตการณ์ (ผู้รับรู้)

ด้วยเหตุนี้ ดร. ราธกฤษณัณ จึงถือว่า เอกภพมีลักษณะเป็นพลวัตและพลังงาน สิ่งทั้งหลายมีวิวัฒนาการอยู่เรื่อยๆไป ทรรศนะของท่านเรียกว่า ทรรศนะเรื่องเอกภพแบบพลวัตและพลังงาน

ทรรศนะเรื่องโลก


ดร. ราธกฤษณัน อธิบาย เรื่องโลกไว้ว่า โลกคือความต่อเนื่องของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปติดต่อกันเป็นกระบวนการไม่มีที่สิ้นสุด หรือเป็นคลื่นพลังงานที่ไม่เสถียรหมุนเวียนและเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิตย์ ทุกๆสิ่งในโลกก็มีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องกันไปเหมือนกันเพราะถ้าทุกๆสิ่งหยุดนิ่งลงเมื่อใด โลกทั้งโลกก็สลายลงเมื่อนั้น

เนื่องจากโลกเป็นกระบวนการที่เกิดดับเนื่องของเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่สามารถแบ่งโลกออกเป็สวนหรือภาคต่างๆได้ นอกจากจะแบ่งเป็นวัฏภาคต่างๆเท่านั้น ดร. ราธกฤษณัน จึงกล่าวว่า “เราไม่มีอาณาจักรหรือมณฑลแห่งภาวะ” นอกจากอัญรูปหรือวัฏภาคของกิจกรรม กระบวนการของธรรมชาติก็เป็นวัฏภาคหนึ่งซึ่งละเอียดอ่อนและต่อเนื่อง ไม่ใช่แบบอนุกรมแห่งเหตุการณ์สถิตที่ขาดตอนเป็นช่วงๆ และมีคุณลักษณะคงที่ตายตัว

ดร. ราธกฤษณัน สรุปลักษณะทั่วไปของโลกตามทรรศนะของท่าน ไว้ดังนี้

(1) สิ่งที่เคยถือกันว่า เป็นอนุภาคคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นฝ่ายถูกกระทำ คือ ไม่มีกิริยานั้น บัดนี้รู้จักกันดีแล้วว่าได้แก่ ระบบเชิงซ้อนของพลังงานที่กำลังเดือดพล่านอยู่ อะตอมตัวหนึ่ง คืออินทรียภาพหนึ่ง ซึ่งมีโปรตอนและอิเล็กตรอนเป็นองค์ประกอบโมเลกุล คืออินทรียภาพเชิงซ้อน เช่นเดียวกับสังคมมนุษย์

(2) วัตถุธรรมชาติ คือ มวลรวมที่มีระเบียบและเป็นไปอย่างมีระเบียบเช่นกัน องค์ประกอบทั้งมวลของวัตถุธรรมชาติล้วนอาศัยกันและกัน อินทรียภาพแต่ละอย่างกับสิ่งแวดล้อมของมันเป็นสหภาพกันและมีอันตรกิริยาต่อกัน

(3) เหตุการณ์แต่ละอย่างเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยและเป็นตัวก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่อไปอีก (คือเป็นทั้งผลและเหตุ) การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลแบบข้ามภพข้ามชาติ

ทรรศนะเรื่องชีวิต




ดร. ราธกฤษณัน อธิบายเรื่องชีวิตไว้ว่า ชีวิตต่างจากสสารตรงที่กิจกรรม กล่าวคืออินทรียภาพที่มีชีวิตมีพฤติกรรมบางอย่างโดยเฉพาะที่อินทรียภาพไร้ชีวิต ไม่สามารถมีได้ เช่นการเลียนแบบ การหายใจ การสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต การพัฒนา โครงสร้างของอินทรียภาพ ที่มีชีวิตจะคงทนอยู่ได้ตลอดช่วงการเปลี่ยนแปลง ความคงทนหรือเสถียรภาพนี้จะมีตลอดไปถึงกิจกรรมภายในของอินทรียภาพนั้นด้วย ส่วนต่างๆของอินทรียภาพหนึ่งๆ เป็นมวลรวม ถ้าจะแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป ความมีชีวิตของอินทรียภาพนั้นก็จะได้รับความกระทบกระเทือนอาจถึงขั้นสิ้นสุดลงได้ ต่างกับอินทรียภาพไร้ชีวิต เช่นสสารอนินทรีย์แม้จะแยกบางส่วนออกไป ก็ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อสมบัติของสารนั้น อนึ่งถือกันว่าในอินทรียภาพที่มีชีวิตนั้น การเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากประสบการณ์และนิสัย และการเปลี่ยนแปลงในทางตอบสนองจะทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นภายในอินทรีภาพ

ดร. ราธกฤษณัน กล่าวถึงการวิวัฒนาการของอินทรียภาพที่มีชีวิตไว้ว่า วิวัฒนาการของอินทรียภาพที่มีชีวิตเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครอธิบายว่า ชีวิตเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ และเกิดขึ้นอย่างไร ทฤษฎีวิวัฒนาการทั้งหลายของ ชาลส์ ดาร์วิน ก็ดี เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ ก็ดี ชอง บัปติสต์ เดอ ลามาร์ก ก็ดี เอากุส ไวส์มันน์ เป้นเพียงถ้อยแถลงเกี่ยวกับวิวัฒนาการอย่างลึกลับของอินทรีภาพใหม่กับชนิดของอินทรียภาพเท่านั้น หาได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าวิวัฒนาการของอินทรียภาพใหม่ที่สูงขึ้นนั้นเกิดได้อย่างไร

ทรรศนะเรื่องจิต

ดร. ราธกฤษณัน อธิบายว่า จิตหรือวิญญาณ ไว้ว่า จิตต่างกับกาย แม้ว่าจะทำงานสัมพันธ์กับระบบประสาทอย่างใกล้ชิด แต่ไม่อาจลดทอนจิตลงเป็นอย่างเดียวกับกายได้เลย จิตต่างกับชีวิต เพราะในอินทรียภาพบางชนิดมีทั้งจิตและชีวิตแต่บางชนิดไม่มีจิตมีแต่ชีวิต เช่น ในพืช มีชีวิต แต่ไม่มีจิต พืชแสดงอาการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมทางผัสสะ (กายประสาท) ซึ่งสัมพันธ์กันโดยตรง คนและสัตว์ซึ่งเป็นอินทรียภาพที่มีทั้งชีวิตและจิต มีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมนอกตัวได้ทั้งที่อยู่ใกล้ตัวและไกลตัว ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม การเกิดขึ้นของพืชสามารถกำหนดล่วงหน้าได้แน่นอนเพราะขึ้นอยู่กับว่า มีจิตมาจากที่อื่นมาปฏิสนธิในร่างกายใหม่นั้นหรือไม่

ยิ่งไปกว่านั้น จิตมีบทบาทสำคัญในการเจริญพัฒนาของคนและสัตว์ จิตที่ได้รับการอบรมทางศีลธรรมดีแล้ว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม และช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมและสังคมพัฒนาไปด้วย แต่ในพืชซึ่งไม่มีจิต จะไม่มีการพัฒนาดังเช่นในคนและสัตว์

ดร. ราธกฤษณันเชื่อในทฤษฎีวิวัมนาการแบบก้าวกระโดดหรืออุบัติวิวัฒนาการ คล้ายกับศรีอรพินโท ลอยด์ มอร์แกน และซามุเอล อะเล็กซานเดอร์ที่ว่าจากสสารวิวัฒน์เป็นชีวิตจากชีวิตวิวัฒน์เป็นจิต

ทรรศนะเรื่องอัตพิชาน

ดร. ราธกฤษณัน อธิบายไว้ว่า ได้แก่สภาวะทางจิตที่สูงกว่าจิต เกิดเฉพาะในมนุษย์ไม่เกิดในสัตว์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อัตพิชานคือจิตที่มีคุณลักษณะ เช่น วิจารณญาณ รู้จักคิดตรึกตรองด้วยเหตุผล และสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้โดยอิสระ ซึ่งท่านจัดเป็นจิตระดับสูง ต่างกับจิตในสัตว์หรือแม้แต่ในเด็กทารก เพราะจิตที่ว่านี้ ไม่มีวิจารณญาณและความคิดสร้างสรรค์ จึงจัดเป็นจิตระดับต่ำ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต่างจากสัตว์ ตรงที่ไม่ใช่เพียงแต่รู้จักใช้เครื่องมือเท่านั้น แต่ยังรู้จักประดิษฐ์คิดค้นสร้างสรรค์เครื่องมือไว้ใช้ขึ้นเองด้วย ความเด่นนี้เกิดจากมนุษย์มีอัตพิชานนั่นเอง และความต่างระหว่างจิตมนุษย์กับจิตในสัตว์ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ขึ้น มนุษย์จึงไม่ใช่เพียงสัตว์ที่พัฒนาขึ้นมา ในทางตรงข้าม สัตว์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่เสื่อมถอยลงมาจนกลายเป็นสัตว์

กล่าวสรุปตามทัศนะของ ดร. ราธกฤษณันว่า วัตถุหรือสสาร พืช สัตว์ และมนุษย์มีความแตกต่างกันตรงที่มีหรือไม่มีสภาวะสำคัญอัน ได้แก่ ชีวิต จิต และอัตพิชาน กล่าวคือ วัตถุไม่มีชีวิต จิตและอัตพิชาน พืชมีชีวิต แต่ไม่มีจิตและอัตพิชาน สัตว์มีทั้งชีวิตและจิตแต่ไม่มีอัตพิชาน มนุษย์จึงมีประสบการณ์ คุณค่า และวุดประสงค์เฉพาะตน ที่สสาร พืช และสัตว์มีไม่ได้ แต่ทั้งวัตถุ สัตว์ พืช และมนุษย์ก็ต่างอยู่ในเอกภพเดียวกัน รวมกันเป็นเอกภาพและสันตติ คือเกิดต่อเนื่องกันไป ผ่านระดับต่างๆมาโดยตลอดจากระดับต่ำไปหาระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด เช่น วัตถุใดจะวิวัฒนาการก้าวกระโดดข้ามขั้นขึ้นเป็นพืชได้ก็ต่อเมื่อวัตถุนั้นมีชีวิตเกิดขึ้นก่อน ในทำนองเดียวกัน พืชใดจะวิวัฒน์ก้าวกระโดดข้ามขั้นเป็นสัตว์ได้ก็ต่อเมื่อพืชนั้นมีจิตเกิดขึ้นก่อน และสัตว์ใดจะวิวัฒนาการกระโดดข้ามขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อสัตว์นั้นมีอัตพิชานเกิดขึ้นก่อนเช่นกัน

จากทฤษฎีนี้ แสดงให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายวิวัฒนาการขึ้นโดยลำดับตามขั้นตอนจากต่ำไปหาสูงและไม่มีการถอยหลัง ข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นต่อไปว่า ทฤษฎีนี้ยอมรับหลักการสำคัญ คือ ยอมรับว่ามีพลังอำนาจอยู่เบื้องหลังวิวัฒนาการนั้น พลังอำนาจนี้เองเป็นตัวการผลักดัน คือเป็นพลังงานเชิงกลแบบข้ามภพข้ามชาติ และเป็นตัวจุดหมายปลายทางแห่งวิวัฒนาการนั้นด้วย พลังอำนาจนี้ก็คือ พระเจ้าหรือพรหมันนั้นเอง แต่ดร. ราธกฤษณันกล่าวว่า พรหมันมีลักษณะแบบเป็นพลวัต มีอิสระ มีพลังสร้างสรรค์ พรหมันนี้เองสำแดงองค์ออกมาเป็นวัตถุหรือสสาร สิ่งมีชีวิต สิ่งมีจิตและสิ่งมีอัตพิชาน สิ่งทั้งหลายจึงมีพลังอำนาจแห่งพรหมันอยู่ในตัว และเป็นแรงผลักดันให้วิวัฒนาการก้าวกระโดดข้ามขั้นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงสุดท้าย คือ พรหมัน

จากคำอธิบายจะเห็นว่า ดร. ราธกฤษณัน เป็นนักปรัชญาจิตนิยมสัมบูรณ์ที่สำคัญคนหนึ่งในวงการปรัชญาสมัยใหม่ หลักปรัชญาของท่านมีรากฐานมาจากคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งกล่าวถึงหลักการสัมบูรณ์นิยมว่า อันนะ ปราณ มนัส หรือจิต วิชญาณและอานันทะ เป็นสิ่งสำแดงของพรหมัน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บรรณนานุกรม


อดิศักดิ์ ทองบุญ. (2545). ปรัชญาอินเดียร่วมสมัย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น