ปรัชญาของสวามี วิเวกานันทะ
ท่านเป็นนักปฏิรูปศาสนา
และนักปฏิวัติสังคม เป็นลูกศิษย์คนโปรดของรามกฤษณะ วิเวกานันทะ ทำให้หลักคำสอน
ตลอดจนผลงานของสถาบัน “ราม-กฤษณะมิชั่น” เป็นที่รู้จักแพร่หลายในปัจจุบัน หลังจากรามกฤษณะได้นำเท้าเหยียบหลังวิเวกานันทะแล้ว
ทรรศนะคติของเขาได้เปลี่ยนไป
จากเหตุผลนิยมเป็นจิตนิยม โดย แนวคิดก่อนเจอรามกฤษณะ ท่านวิจารณ์การนับถือเทวรูปไว้อย่างรุนแรง ท่านเชื่อว่า
มนุษย์เรามีบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิดและต้องอยู่ในอำนาจแห่งอวิชชาตลอดไป ท่านนับถือพระเจ้าเป็นเจ้าแบบมีตัวตน มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นจากบาปได้
เพราะมนุษย์มีบาป เราจึงไม่สามารถเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าได้ แนวคิดหลังพบรามกฤษณะ
เชื่อว่าพรหมันเป็นสิ่งจริงแท้อย่างเดียวที่ไม่มีขอบเขตจำกัด
แพร่ไปทั่ว เป็นนิรันดร โลกไม่ใช่สิ่งแท้จริง
เปรียบเสมือนฝัน เมื่อรู้แจ้งเทวภาพโลกมายาจะหายไป การบูชาเทวรูปจะนำไปสู่การเข้าถึงพระเจ้า
(เข้าไปรวมอยู่กับพรหมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)
หลักปรัชญา
1. พรหมันเป็นสิ่งสัมบูรณ์
พรหมันเป็นเอกภาพที่แท้จริง
อยู่นิรันดรไม่มีปัจจัยและเงื่อนไขที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และเป็นไป
ภาวะอยู่เหนือปัจจัยเงื่อนไขและกาลเวลา พระเจ้ามี 2 ลักษณะ คือ
อุตรภาพ = พระเจ้าที่อยู่เหนือโลก
เป็น นิรคุณพรหมมัน มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีตัวตน
ผู้ที่เข้าถึงได้ต้องเป็นผู้รู้แจ้ง หรือ ผู้ที่เข้าถึงโมกษะ อัพภันตรภาพ = พระเจ้าที่มีตัวตน
เป็นแบบหยาบ ที่เห็นอยู่ทั่วโลก ได้แก่ พระนารายณ์ พระศิวะ เป็น สคุณพรหมมัน
คนทั่วไปที่ไม่มีประสบการณ์พิเศษจะเห็น เหมือนกับที่เขาเปรียบเทียบเรื่องคนเลี้ยงแกะ
แสดงเป็นพระราชา บทบาทที่เขาแสดง เป็นเรื่องสมมุติชั่วคราวเท่านั้น
เหมือนกับพระเจ้าที่แสดงบทบาทต่าง ๆ ผู้สร้าง รักษา ทำลาย
แต่ก็ไม่ใช่บทบาทที่แท้จริงของพรหมันเช่นกัน
2. มโนภาพเรื่องมายา คนทั่วไปมองโลกว่าโลกเป็นสิ่งจริงแท้
ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ มันจึงเกิดความแย้งภายใน โลกคือ พรหมัน พรหมันคือโลก
ส่วนโลกที่คนเห็นคือ โลกมายา โลกเป็นมายา
โลกเป็นสิ่งไม่จริงแท้ เป็นแต่สิ่งปลอม มายา
ยังแสดงว่าโลกไม่ใช่สิ่งไม่จริงแท้เสียเลยก็ได้ เพราะคำว่า
ไม่จริงแท้หรือไม่มีอยู่จริงนั้น คือ ไม่มีอยู่ในอดีตและไม่มีในอนาคต โลกที่เราเห็นทุกวันนี้
สิ่งที่เราเป็นบนโลกเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นเพราะอวิชชาบังตาไว้
แต่ถ้าหากอวิชชาหายไปก็จะพบกับความจริงว่าโลกนี้ไม่มีอะไร โลกจึงไม่มีอยู่จริง คือ
ไม่ใช่ภาวะที่คงทนถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีขอบเขตจำกัดจิตและตัวเราเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงแต่ปรากฏออกมาเสมือนจริงแบบเดียวกับโลก
ถือว่าเป็นมายาด้วยภายในโลกแห่งนี้เป็นมายา 3. มายากับการเกิดขึ้นของเอกภพ
พรหมันสำแดงตัวออกมมาในเอกภพผ่านอวกาศ
กาล และเหตุกรรม กระบวนการนี้เป็นเพียงมายา มายาจึงเป็นผลรวมของอวกาศ คือช่องว่างระหว่าง 2
สิ่ง กาล เช่น วันนี้มีอยู่ไหม
พรุ่งนี้มีไหม การการะทำไม่มีอยู่จริง และเหตุกรรม คือ
กระบวนการคล้ายกับหลักปฏิจสมุปบาท อิงอาศัยกัน มันเป็นภาพรวมของมายา
เหมือนกับโลกความจริงกับความฝัน นั้นไม่มีอยู่จริงพอ ๆ กัน
4. อาตมันกับโมกษะ
อาตมัน
ก็คือ พรหมันและพรหมันก็คือ อาตมัน เชื่อโดยปรมัติถ์ อาตมันและพรหมันเป็นสิ่งเดียวกัน สัต จิต อานันทะ
มีลักษณะเป็นอนันตะและนิรันดร ไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่างเดียวกัน อาตมันไม่ใช่ภาคหรือสิ่งของพรหมัน
เพระพรหมันเป็นสิ่งสมบูรณ์แบ่งแยกไม่ได้ มายาทำให้เราเห็นพรหมันในภาพอาตมัน โมกษะ คือ
การรู้แจ้งถึงภาวะของตัวเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรหมัน โมกษะมี ๒ ขั้น คือ
ชีวันมุกติ คือ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และ วิเทนมุกติ คือ
นิพพานของพระอรหันต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น