วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปรัชญาของสวามี วิเวกานันทะ

 ปรัชญาของสวามี วิเวกานันทะ 

           
ท่านเป็นนักปฏิรูปศาสนา และนักปฏิวัติสังคม เป็นลูกศิษย์คนโปรดของรามกฤษณะ      วิเวกานันทะ ทำให้หลักคำสอน ตลอดจนผลงานของสถาบัน “ราม-กฤษณะมิชั่น” เป็นที่รู้จักแพร่หลายในปัจจุบัน หลังจากรามกฤษณะได้นำเท้าเหยียบหลังวิเวกานันทะแล้ว ทรรศนะคติของเขาได้เปลี่ยนไป จากเหตุผลนิยมเป็นจิตนิยม โดย  แนวคิดก่อนเจอรามกฤษณะ ท่านวิจารณ์การนับถือเทวรูปไว้อย่างรุนแรง ท่านเชื่อว่า มนุษย์เรามีบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิดและต้องอยู่ในอำนาจแห่งอวิชชาตลอดไป ท่านนับถือพระเจ้าเป็นเจ้าแบบมีตัวตน มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นจากบาปได้ เพราะมนุษย์มีบาป เราจึงไม่สามารถเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าได้            แนวคิดหลังพบรามกฤษณะ เชื่อว่าพรหมันเป็นสิ่งจริงแท้อย่างเดียวที่ไม่มีขอบเขตจำกัด แพร่ไปทั่ว เป็นนิรันดร โลกไม่ใช่สิ่งแท้จริง เปรียบเสมือนฝัน เมื่อรู้แจ้งเทวภาพโลกมายาจะหายไป การบูชาเทวรูปจะนำไปสู่การเข้าถึงพระเจ้า (เข้าไปรวมอยู่กับพรหมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)        

   หลักปรัชญา           

 1. พรหมันเป็นสิ่งสัมบูรณ์ พรหมันเป็นเอกภาพที่แท้จริง อยู่นิรันดรไม่มีปัจจัยและเงื่อนไขที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และเป็นไป ภาวะอยู่เหนือปัจจัยเงื่อนไขและกาลเวลา พระเจ้ามี 2 ลักษณะ คือ
            อุตรภาพ = พระเจ้าที่อยู่เหนือโลก เป็น นิรคุณพรหมมัน มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่มีตัวตน ผู้ที่เข้าถึงได้ต้องเป็นผู้รู้แจ้ง หรือ ผู้ที่เข้าถึงโมกษะ            อัพภันตรภาพ = พระเจ้าที่มีตัวตน เป็นแบบหยาบ ที่เห็นอยู่ทั่วโลก ได้แก่ พระนารายณ์ พระศิวะ เป็น สคุณพรหมมัน คนทั่วไปที่ไม่มีประสบการณ์พิเศษจะเห็น            เหมือนกับที่เขาเปรียบเทียบเรื่องคนเลี้ยงแกะ แสดงเป็นพระราชา บทบาทที่เขาแสดง เป็นเรื่องสมมุติชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับพระเจ้าที่แสดงบทบาทต่าง ๆ ผู้สร้าง รักษา ทำลาย แต่ก็ไม่ใช่บทบาทที่แท้จริงของพรหมันเช่นกัน          

  2. มโนภาพเรื่องมายา คนทั่วไปมองโลกว่าโลกเป็นสิ่งจริงแท้ ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่ มันจึงเกิดความแย้งภายใน โลกคือ พรหมัน พรหมันคือโลก ส่วนโลกที่คนเห็นคือ โลกมายา โลกเป็นมายา โลกเป็นสิ่งไม่จริงแท้ เป็นแต่สิ่งปลอม มายา ยังแสดงว่าโลกไม่ใช่สิ่งไม่จริงแท้เสียเลยก็ได้ เพราะคำว่า ไม่จริงแท้หรือไม่มีอยู่จริงนั้น คือ ไม่มีอยู่ในอดีตและไม่มีในอนาคต โลกที่เราเห็นทุกวันนี้ สิ่งที่เราเป็นบนโลกเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ เป็นเพราะอวิชชาบังตาไว้ แต่ถ้าหากอวิชชาหายไปก็จะพบกับความจริงว่าโลกนี้ไม่มีอะไร โลกจึงไม่มีอยู่จริง คือ ไม่ใช่ภาวะที่คงทนถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีขอบเขตจำกัดจิตและตัวเราเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงแต่ปรากฏออกมาเสมือนจริงแบบเดียวกับโลก ถือว่าเป็นมายาด้วยภายในโลกแห่งนี้เป็นมายา            3. มายากับการเกิดขึ้นของเอกภพ พรหมันสำแดงตัวออกมมาในเอกภพผ่านอวกาศ กาล และเหตุกรรม กระบวนการนี้เป็นเพียงมายา มายาจึงเป็นผลรวมของอวกาศ คือช่องว่างระหว่าง 2 สิ่ง  กาล เช่น วันนี้มีอยู่ไหม พรุ่งนี้มีไหม การการะทำไม่มีอยู่จริง และเหตุกรรม คือ กระบวนการคล้ายกับหลักปฏิจสมุปบาท อิงอาศัยกัน มันเป็นภาพรวมของมายา เหมือนกับโลกความจริงกับความฝัน นั้นไม่มีอยู่จริงพอ ๆ กัน
            4. อาตมันกับโมกษะ
อาตมัน ก็คือ พรหมันและพรหมันก็คือ อาตมัน เชื่อโดยปรมัติถ์ อาตมันและพรหมันเป็นสิ่งเดียวกัน สัต จิต อานันทะ มีลักษณะเป็นอนันตะและนิรันดร ไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่างเดียวกัน อาตมันไม่ใช่ภาคหรือสิ่งของพรหมัน เพระพรหมันเป็นสิ่งสมบูรณ์แบ่งแยกไม่ได้ มายาทำให้เราเห็นพรหมันในภาพอาตมัน โมกษะ คือ การรู้แจ้งถึงภาวะของตัวเองว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรหมัน โมกษะมี ๒ ขั้น คือ ชีวันมุกติ คือ นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และ วิเทนมุกติ คือ นิพพานของพระอรหันต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น