การปกครองคณะสงฆ์ไทย
(Thai Songha Administration)
(Thai Songha Administration)
การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยกรุงสุโขทัย
ก่อนสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย
พระเจ้าปรักกมพาหุ ขึ้นครองราชย์ในประเทศลังกา
พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยการทำสังคายนาครั้งที่ ๗ ขึ้น
พระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองในประเทศลังกาทั้งด้านการศึกษา
การปฏิบัติธรรม กิตติศัพท์เลืองลือไปถึงประเทศพม่า พระสงฆ์จากเมืองพุกามและพระสงฆ์ชาวมอญได้เดินทางไปศึกษาพระธรรมวินัย
และได้อุปสมบทใหม่ในคณะสงฆ์ลังกาและได้พาพระสงฆ์จากลังกา
กลับมายังเมืองพุกามและเมืองมอญ ตั้งคณะลังกาวงศ์ขึ้นในประเทศพม่า
ต่อมาพระสงฆ์ชาวลังกาชื่อ
ราหุล
ได้จาริกจากเมืองพุกามมาตั้งคณะลังกาวงศ์ขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราชและได้เป็นที่นับถือศรัทธาของประชาชน
ราวพุทธศตวรรษที่
๑๘ อาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยเป็นอิสระมากขึ้น
ทางตอนเหนือเกิดอาณาจักรล้านนา ทางใต้เกิดอาณาจักรสุโขทัย สุโขทัยได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนาจากอาณาจักรศรีวิชัยโดยมีพระสงฆ์ไทยและพระสงฆ์จากศรีลังกา
มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรศรีวิชัย
พ.ศ.
๑๘๒๐ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้สดับกิตติศัพท์ของลังกาวงศ์ และ
ได้อาราธนา พระมหาเถรสังฆราชมาพำนักอยู่ ณ วัดอรัญญิก ในกรุงสุโขทัย
พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์จึงเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่บัดนั้น ในยุคแรกมีพระสงฆ์อยู่ ๒
พวก คือ คณะสงฆ์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว
และพระสงฆ์ลังกาวงศ์
ในที่สุดก็รวมตัวเป็นนิกายเดียวกัน ดังปรากฏใน ศิลาจารึกหลักที่ ๑ “ เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้มีอรัญญิก
พระขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวก (รู้หลัก) กว่าปู่ครูในเมืองนี้ทุกคนลุก (จารึก)
แต่เมืองนครศรีธรรมราชมา”
พ.ศ.
๑๘๙๗ พระเจ้าลิไท กษัตริย์องค์ที่ ๕ แห่งกรุงสุโขทัย
ได้ทรงอาราธนาพระมหาสวามีสังฆราชเมืองลังกา นามว่า สุมนเถระ เข้ามาสู่กรุงสุโขทัย
พ.ศ.
๑๙๐๔ ครั้นออกพรรษาแล้วพระองค์ทรงเสด็จออกผนวชชั่วคราว ณ วัดอรัญญิก และทรงนิพนธ์หนังสือเรื่อง
เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง
การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์มีปรากฏเป็นแบบแผนชัดเจน ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท
ผู้ทรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชจากเมืองนครพันมาตั้งสำนักเผยแผ่พระศาสนา ณ
วัดป่ามะม่วงกรุงสุโขทัย ใน พ.ศ. ๑๙๐๔ดังข้อวามหนึ่งในหลักศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง
เป็นภาษาเขมรที่ว่า
“สมเด็จบพิตรทรงใช้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชผู้มีศีลเรียนจบพระไตรปิฎก
ซึ่งสถิตอยู่ในลังกาวงทวีป ซึ่งมีศีลาจารคล้ายพระขีณาสพทั้งหลายในโบราณจากนครพัน”
การที่พระมหาธรรมราชาลิไท
ทรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชมายังกรุงสุโขทัยนี้
ทำให้สถานภาพของพระสงฆ์คณะลังกาวงศ์มีความมั่นคงยิ่งขึ้นอีกทั้งพระสงฆ์ในคณะลังกาวงศ์เป็น “พระนักปฏิบัติกรรมฐาน”
นิยมพำนักอยู่ในวัดที่ห่างไกลจากตัวเมืองคณะนี้จึงมีชื่อเรียกในสมัยนั้นว่า
คณะอรัญญวาสี หมายถึง
กลุ่มพระสงฆ์ที่พำนักอยู่ในวัดป่าอันแตกต่างจากพระสงฆ์ฝ่ายที่อยู่กรุงสุโขทัยดั้งเดิม
พระสงฆ์กลุ่มหลังนี้เรียกว่า
คณะคามวาสี หมายถึง กลุ่มพระสงฆ์ที่พำนักอยู่ในวัดซึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากหมู่บ้านหรือตัวเมือง
พระสงฆ์กลุ่มนี้เป็นพระสายนักวิชาการจะศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นหลัก
ดังนั้น
การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยสุโขทัย จึงมีการจัดรูปแบบการจัดการองค์กรสงฆ์
โดยแบ่งแยกออกเป็น ๒ คณะด้วยกันคือ
คณะคามวาสี และ คณะอรัญญวาสี
ในหนังสือพงศาวดารเหนือบันทึกการแบ่งคณะสงฆ์เป็นสองฝ่าย
โดยเรียก คณะคามวาสี ว่า คณะฝ่ายขวาและเรียกคณะอรัญญวาสี ว่า คณะฝ่ายซ้าย คณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายแยกการปกครองเป็นอิสระจากกัน ด้วยเหตุนั้น ในสมัยกรุงสุโขทัยจึงมีสังฆนายก ๒
รูป คือพระสังฆราชคณะคามวาสี และ พระสังฆราชคณะอรัญญวาสี
การปกครองคณะสงฆ์ในหัวเมืองที่สำคัญๆ
นอกจากกรุงสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งพระสังฆราชประจำตำแหน่งหัวเมือง
ในลักษณะเดียวกันกับที่ทรงแต่งตั้งเจ้าประเทศราชไปครองเมืองใหญ่
ในฝ่ายอาณาจักรในสมัยกรุงสุโขทัยจึงมีพระสังฆราชหลายองค์
สรุปการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยกรุงสุโขทัย
มีลักษณะการปกครองแบ่งเป็น
๒ คณะ ได้แก่
๑. คณะอรัญญวาสี คือ
พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนเองอย่างเคร่งครัดตามพระธรรมวินัยจะหลีกเร้นอยู่ตามป่าเขาหรือที่ห่างไกลจากย่านชุมชนหรือที่เรารู้จักกันในนามว่า
“พระสายวิปัสสนาธุระ”
๒. คณะคามวาสี คือ
พระสงฆ์ที่ใส่ใจในเรื่องของการศึกษาสาย
พระปริยัติธรรมมุ่งเน้นศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาอยู่ร่วมกับหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นๆ
หรือที่เราเรียกกันภายหลังว่า “พระสายคันถธุระ”
คณะคามวาสี (คันถธุระ)
|
คณะอรัญวาสี (วิปัสสนาธุระ)
|
•
พระสงฆ์ที่มีหน้าที่เรียนหนังสือ
•
เป็นพระสงฆ์ในสุโขทัยที่มีมาแต่เดิม
•
มีพระสังฆราชรูจีมหาเถระเป็นเจ้าคณะ
|
•
พระสงฆ์ที่มีหน้าที่ปฏิบัติวิปัสสนา
•
พระสงฆ์คณะใหม่ที่ได้รับอาราธนามาจากนครศรีธรรมราช
•
มีพระบรมครุติโลกติลกติรัตนสีลคันธวนวาสีธรรมกิตติสังฆราชมหาสวามี เป็นเจ้าคณะ
|
การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในยุคต้นการปกครองคณะสงฆ์ยังคงยึดรูปแบบลักษณะการปกครองมาจากกรุงสุโขทัย
โดยแบ่งลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็น ๒ คณะ คือ คณะคามวาสีกับ คณะอรัญญวาสี ต่อมาจึงมีการพัฒนารูปแบบการปกครองคณะสงฆ์เพิ่มเติมขึ้น
เพราะ เกิดจากการพัฒนาของคณะอรัญญวาสีเดิม ที่มีการเจริญอย่างแพร่หลาย ทำให้คณะคามวาสีมีพระสงฆ์ลดจำนวนน้อยลง
และมีการส่งพระสงฆ์จากอยุธยา เชียงใหม่ และกัมพูชาไปสู่ลังกาประเทศ
บวชใหม่เป็นนิกายสิงหล กลับมาสู่กรุงศรีอยุธยา
เกิดการเปลี่ยนแปลงนิกายเพิ่มขึ้นเป็น คณะป่าแก้ว
ใน พ.ศ. ๑๙๖๗
ได้ทำการศึกษาพระธรรมวินัย ณ ลังกาประเทศอยู่หลายปีจนแตกฉาน และ
เมื่อเดินทางกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ได้นิมนต์พระมหาเถระชาวลังกาประเทศจำนวน ๒ รูป
คือ พระมหาวิกรมพาหุ และพระอุดมปัญญา เดินทางร่วมมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เมื่อเดินทางถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว
พระสงฆ์เหล่านั้นได้แยกย้ายกันออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาจน มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธา และขออุปสมบทเป็นจำนวนมาก
ในที่สุดพระสงฆ์เหล่านั้นได้แยกตัวออกมาตั้งคณะปกครองสงฆ์ใหม่ เรียกว่า คณะป่าแก้ว
ด้วยสาเหตุที่พระอุปัชฌาย์ชาวลังกาของพระสงฆ์เหล่านั้น ชื่อว่า วันรัต ซึ่งแปลว่า
ป่าแก้ว และยังมีที่พำนักจำพรรษาของคณะสงฆ์เหล่านี้ มีชื่อต่อท้ายด้วยคำว่าป่าแก้ว
เช่น วัดไตรภูมิคณะป่าแก้ว เป็นต้น
สรุปการปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย
แบ่งการปกครองออกเป็น
๓ คณะ ซึ่งได้แก่
๑. คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย คือ
พระสงฆ์ที่สืบมาจากนิกายเดิมที่มีมาตั้งแต่แรกสมัยกรุงสุโขทัย
และทำการศึกษาพระไตรปิฎกตลอดถึงการศึกษาจากคัมภีร์ต่างๆ
จนแตกฉานหรือที่รู้จักว่า “สายคันถธุระ”
๒. คณะอรัญญวาสี
คือ พระสงฆ์ดั้งเดิมที่ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อๆกันมา
ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นหลัก และจำพรรษาอยู่ตามวัดต่างๆซึ่งอยู่ห่างไกลจากชุมชน
ที่รู้จักกันว่า “พระสายวิปัสสนาธุระหรือพระป่า”
๓. คณะคามวาสีฝ่ายขวา คือ
คณะสงฆ์นิกายเดิมที่ไปบวชและแปลงนิกายที่ลังกาประเทศแล้วกลับมา
เผยแผ่พระพุทธศาสนาจนมีผู้คนเลื่อมใสศรัทธา
และขออุปสมบทเป็นจำนวนมากและรู้จักกันต่อมาว่าภายหลังว่า “คณะป่าแก้ว”
สำหรับการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น มีเจ้าคณะใหญ่อีก ๓ รูป คือ
เจ้าคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย เจ้าคณะอรัญญวาสี และเจ้าคณะคามวาสีฝ่ายขวา
เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาพระสงฆ์ของแต่ละคณะ
พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงสถาปนาเจ้าคณะใหญ่รูปใดรูปหนึ่ง ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
โดยดำรงตำแหน่งเป็นประมุขสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร
การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยกรุงธนบุรี
ในด้านพระพุทธศาสนา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเท่าที่ทรงมีโอกาส เช่น
การสร้างวัดบางยี่เรือเหนือ (วัดราชคฤห์ ปัจจุบัน)ทรงทำการปฏิสังขรณ์วัดเก่า อาราธนาพระภิกษุผู้รู้ธรรมมีศีลาจารวัตรปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ เข้ามาตั้งเป็นพระราชาคณะช่วยรับภาระบำรุงพระพุทธศาสนา
พระองค์ทรงรวบรวมคัมภีร์พระไตรปิฎกหัวเมืองต่างๆ มาเลือกคัดจัดเป็นฉบับหลวง
แต่ยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน
ส่วนการปกครองคณะสงฆ์ในยุคดังกล่าว
ยังยึดรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์มาจากกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก เพราะสาเหตุหลายประการ
เช่น กำลังสร้างเมืองใหม่ ระยะดังกล่าวบ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะสงคราม
การปกครองคณะสงฆ์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
การปกครองคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
(ร.๑ - ๔)
การปกครองคณะสงฆ์ในยุคนี้
ถือว่ายังเป็นการรักษารูปแบบมาจากกรุงศรีอยุธยาสืบมา แต่มีการเปลี่ยนแปลงในการเรียกชื่อคณะคามวาสีฝ่ายซ้าย
มาเป็น คณะเหนือ และ คณะคามวาสีฝ่ายขวา มาเป็น คณะใต้ ส่วนคณะอรัญญวาสียังคงเรียกชื่อกันตามเดิม
ถึงแม้ว่าในช่วงดังกล่าว มีจำนวนพระภิกษุลดน้อยลง หลังจากนี้
ได้ทรงตรากฎหมายสำหรับพระสงฆ์ เพื่อกวดขันความประพฤติของพระสงฆ์ในยุคนั้น การตรากฎหมายดังกล่าวไม่มีมาตรา
ไม่มีบทหรือตอน แต่อย่างใด
แต่เป็นข้อรับสั่งห้ามพระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
ตัวอย่างของกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับที่
๖ ซึ่งประกาศใช้ใน พ.ศ. ๒๓๒๖ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า“ห้ามมิให้ภิกษุสามเณร
สงเคราะห์ฆราวาส ให้ผลไม้ ใบไม้ ดอกไม้
เป็นต้น อย่าให้ผสมผสานขอกล่าวป่าวร้องเรี่ยไรสิ่งของอันเป็นของฆราวาส
อันมิใช่ญาติ และห้ามอย่าให้เป็นทูตใช้สอยข่าวสาสน์การฆราวาส
และห้ามบรรดาการทั้งปวง อันผิดจากพระปาฏิโมกข์สังวรวินัย”
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รัชกาลที่ ๓ คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปแบบการปกครองคณะสงฆ์
มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยมีการตั้งคณะเพิ่มเติมขึ้นมาอีกคณะหนึ่ง คือ คณะกลาง
โดยแยกวัดต่างๆในกรุงเทพมหานคร ทั้งที่เป็นพระอารามหลวงและวัดราษฎร์ ให้ขึ้นตรงต่อคณะกลาง ที่ตั้งขึ้นมาใหม่
กำเนิดธรรมยุติกนิกาย
ธรรมยุติกนิกายเกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๓ ผู้ก่อตั้งนิกายคือ พระวชิรญาณภิกขุ ขณะผนวชอยู่ ต่อมาได้ทรงลาสิกขาแล้วเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ขณะที่พระวชิรญาณ ทรงผนวชและประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ
พระองค์ทรงศึกษาพระธรรมวินัยและภาษาบาลีจนได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค
ต่อมาพระองค์ได้พบกับพระเถระชาวมอญรูปหนึ่ง ชื่อว่า ชาย พุทธฺวงฺโส
อุปสมบทแต่เมืองมอญและจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรมงคล พระเถระรูปนี้มีความรู้ฉลาดในพระวินัยปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะปฏิบัติตามแบบอย่างพระมอญรูปนี้
จึงทรงย้ายจากวัดมหาธาตุไปประทับจำพรรษา ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาสในปัจจุบัน)
เมื่อปี
พ.ศ. ๒๓๗๒ พระองค์ทรงเข้ารับการอุปสมบทโดยมีพระสุเมธมุนีเป็นพระอุปัชฌาย์
ทรงศึกษาพระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติจากพระอุปัชฌาย์แล้วได้เผยแพร่ถือปฏิบัติเคร่งครัดพระวินัยแบบมอญ
จนมีผู้เคารพนับถือเป็นจำนวนมาก จึงได้ทรงประกาศตั้งคณะสงฆ์ใหม่ขึ้นเรียกว่า
คณะธรรมยุติกนิกาย โดยกำหนดเอาการผูกพัทธสีมาใหม่ ณ วัดสมอราย พ.ศ. ๒๓๗๖ ให้เป็นการก่อตั้งคณะธรรมยุติกนิกาย พ.ศ.
๒๓๗๙ พระองค์ทรงได้รับการพระราชทานสมณศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสครองวัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อพระองค์ได้ประทับ
ณ วัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ทรงแต่งตั้งพระเถระจำนวน ๙ รูป
เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อบริหารของคณะธรรมยุติกนิกาย คณะธรรมยุติกนิกายได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและเจ้านายเชื้อพระวงศ์
จนมีวัดที่สังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้นเป็นจำนวนมากในกรุงเทพมหานคร
การปกครองคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๕-๗
การจัดโครงสร้างการบริหารและองค์กรการปกครองคณะสงฆ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
มากใน สมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อทรงโปรดให้มีการปฏิรูประบบ ราชการ
ทั้งด้าน โครงสร้างและการบริหารราชการแผ่นดิน
เพื่อรวบอำนาจการปกครองเข้าสู่ส่วนกลาง
สำหรับเสริมสร้างเอกภาพของชาติเอาไว้ต่อต้านภัยคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกพระองค์ได้ปฏิรูปการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ควบคู่ไปกับการปฏิรูปในฝ่าย
บ้านเมือง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างเอกภาพขึ้นภายในคณะสงฆ์ทั้งในด้านการบริหาร การศึกษา
การปฏิบัติ และการเผยแพร่ธรรม รูปแบบแห่งการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่
๕ คือ การตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ใน พ.ศ. ๒๔๔๕
พระราชบัญญัติฉบับนี้มีลักษณะเป็นธรรมนูญการปกครองคณะสงฆ์ที่
กำหนดโครงสร้าง การบริหารและการจัดการองค์กรไว้อย่างเป็นระบบ
นับเป็นครั้งแรกในประวัติการปกครองคณะสงฆ์ไทย ที่มีกฎหมายกำหนดระบอบการปกครองคณะสงฆ์พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้เรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่
8 เหตุผลสำคัญประการหนึ่งในการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121
คือความจำเป็นที่รัฐบาลต้องอาศัยคณะสงฆ์โดยเฉพาะคณะสงฆ์ในต่างจังหวัดให้ ช่วยกิจการการศึกษาของชาติ
ตามโครงการปฏิรูปการศึกษาให้ทันสมัยการที่พระสงฆ์จะสามารถสนองความต้องการของรัฐบาลในเรื่องนี้ได้จะต้องปฏิรูป
การบริหารกิจการคณะสงฆ์
และจัดการให้พระสงฆ์ในต่างจังหวัดอยู่ภายใต้ระบบบริหารเดียวกันเสียก่อน
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์
ร.ศ. ๑๒๑
๑.
การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง หมายถึง
การปกครองดูแลกิจการคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเป็นอำนาจหน้าที่ของพระมหา
กษัตริย์และมหาเถรสมาคม ตามมาตรา ๔ ที่บัญญัติไว้ ให้เจ้าคณะใหญ่ทั้ง ๔ ตำแหน่ง
คือ เจ้าคณะใหญ่คณะเหนือ เจ้าคณะใหญ่คณะใต้ เจ้าคณะใหญ่คณะกลาง และเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย
กับ พระราชาคณะที่เป็นรองเจ้าคณะทั้ง ๔ คณะ ทั้งหมด ๘ รูป เป็นมหาเถรสมาคม มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาในการพระศาสนาและการปกครองคณะสงฆ์แด่พระมหากษัตริย์
พระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่ได้กล่าวถึงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ทั้งนี้เพราะในเวลาที่ตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕
ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลงภายหลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสังฆราช (สา
ปุสฺสเทว) ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ นับแต่นั้นมาจนสิ้นรัชกาลที่
๕ ไม่มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชอีกเลย
ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้
พระมหากษัตริย์ในฐานะเอกอัครศาสนูปถัมภก ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชด้วย
โดยมี มหาเถรสมาคม ทำหน้าที่คล้ายกับ คณะเสนาบดีที่ทรงปรึกษาฝ่ายการพระศาสนา เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลาง” การติดต่อประสานงานระหว่างพระมหากษัตริย์กับมหาเถรสมาคม
๒.
การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค คือ
การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคควบขนานไปกับการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาค
กล่าวคือ
มีการแบ่งส่วนการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็นสังฆมณฑล มีเจ้าคณะมณฑลที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากพระราชาคณะ
เป็นผู้ปกครองดูแล กิจการคณะสงฆ์ใน สังฆมณฑลนั้น เจ้าคณะมณฑลนี้เทียบได้กับ
ข้าหลวงเทศาภิบาล ผู้ทำหน้าที่
ปกครองประชาชนและบริหารราชการแผ่นดินในมณฑลของฝ่ายบ้านเมือง รองจากเจ้าคณะมณฑลลงมา
มีเจ้าคณะเมืองหรือจังหวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง รองจากเจ้าคณะเมือง
ก็คือ เจ้าคณะแขวงหรืออำเภอ
เป็นผู้ปกครองเจ้าอาวาสวัดต่างๆ
ข้อควรสังเกต
ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ มาตรา ๔ กล่าวถึง เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
อันแสดงว่าอคณะธรรมยุตซึ่งเคยขึ้นอยู่กับคณะกลางของฝ่ายมหานิกายในรัชกาลที่ ๔
ได้แยกเป็นคณะอิสระโดยมีเจ้าคณะใหญ่ปกครองกันเอง
เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายมหานิกายไม่มีอำนาจบังคับบัญชาวัดที่สังกัดคณะธรรมยุต
เพราะมาตรา
๓ บัญญัติว่า “พระราชบัญญัตินี้ ไม่เกี่ยวด้วยนิกายสงฆ์
กิจและลัทธิเฉพาะในนิกายนั้นๆ
ซึ่งเจ้าคณะหรือสังฆนายกในนิกายนั้นได้เคยมีอำนาจว่ากล่าวบังคับมาแต่ก่อน ประการใด
ก็ให้คงเป็นไปตามเคยทุกประการ” กฎหมายคณะสงฆ์ฉบับนี้ รับรองการแบ่งนิกายของคณะสงฆ์ไทยออกเป็นมหานิกาย
และธรรมยุติกนิกาย
ใน
สมัยรัชกาลที่ ๖ พระมหากษัตริย์มิได้ทรงปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
เพราะมีการสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้ดำรงตำแหน่ง สกลมหาสังฆปรินายก
มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาการคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร
ใน พ.ศ. ๒๔๕๓
เมื่อได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณขึ้นแล้วเช่นนี้
มหาเถรสมาคมซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ตามความในมาตรา ๔
จึงเป็นอันงดไป
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ และต้นรัชกาลที่ ๘
การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปตามแบบอย่างนี้ นั่นก็คือ
สมเด็จพระสังฆราชทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยลำพัง
โดยมีมหาเถรสมาคมทำหน้าที่เป็นกรรมการที่ปรึกษา จนกระทั่งมี การตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๘๔
การปกครองคณะสงฆ์สมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๘
การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของฝ่ายอาณาจักรครั้งนี้เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดองค์กรปกครองคณะสงฆ์
เนื่องจากคณะรัฐบาลในสมัยนั้นต้องการสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจึงเห็นความจำเป็นที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ให้มีรูปแบบเป็นประชาธิปไตยด้วย
รัฐบาลจึงได้ดำเนินการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร
พระราชบัญญัติฉบับนี้ถือเป็นธรรมนูญการปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่ที่ออกมาแทนที่
พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงเหตุผลในการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๘๔ ให้ประชาชนทราบ มีความตอนหนึ่งว่า“พระราชบัญญัติคณะสงฆ์นี้ได้รับความเห็นชอบของคณะสงฆ์
และได้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วโดยราบรื่นความสำคัญในพระราชบัญญัติก็คือ
ได้จัดการปกครองคณะสงฆ์ให้อนุโลมระบอบการปกครองบ้านเมืองเท่าที่ไม่ขัดกับ
พระธรรมวินัย”
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๘๔ มีสาระสำคัญดังนี้
พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชผู้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก
แต่สมเด็จพระสังฆราชทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยลำพังพระองค์เองไม่ได้ พระองค์ทรงบัญญัติสังฆาณัติโดยคำแนะนำของสังฆสภา
ทรงบริหารคณะสงฆ์ทางสังฆมนตรี และทรงพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ทางคณะวินัยธร
มีข้อน่าสังเกตว่า
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้ยกเลิกมหาเถรสมาคม อันประกอบด้วย
เจ้าคณะใหญ่ทั้ง ๔ รูป และรองเจ้าคณะใหญ่ ๔ รูป ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ซึ่งรวมถึง เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกาย
จึงไม่มีกฎหมายรองรับ วัตถุประสงค์ ประการหนึ่งของพระราชบัญญัติฉบับนี้
เพื่อรวมคณะสงฆ์มหานิกาย
และคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
ความพยายามเพื่อจะรวมนิกายสงฆ์ทั้งสองจึงไม่ประสบผลสำเร็จตลอดเวลา ๒๐ ปีที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๘๔ มีผลใช้บังคับ
มีแต่จะสร้างความแตกแยกในวงการคณะสงฆ์มากยิ่งขึ้น จนรัฐบาลสมัย
นั้นเห็นว่าความแตกสามัคคีได้บั่นทอนประสิทธิภาพในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ และความแตกแยกนี้เกิดขึ้นเพราะมีการแบ่งแยกอำนาจการปกครองเพื่อถ่วงดุลกัน
ตามระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลจึงถือเป็นความชอบธรรมในการยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๔๘๔ และประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
การปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบัน
การจัดการโครงสร้างการบริหารและการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบันเป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๐๕ การตราพระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดจากความต้องการของรัฐบาลในสมัยนั้น
ซึ่งมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมุ่ง
ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองคณะสงฆ์
ให้สอดคล้องกับนโยบายการปกครองประเทศของ จอมพลสฤษดิ์ ที่นิยมการรวบอำนาจการติดสินใจเด็ดขาดไว้กับผู้นำที่เข้มแข็ง
จอมพลสฤษด์ เห็นว่า
การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่กำหนดให้มีการถ่วงดุลอำนาจกันนั้นนำมาซึ่งความล่าช้าและความขาดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
ดังนั้น จึงเห็นว่าการแยกอำนาจบัญชาการคณะสงฆ์ออกเป็น 3 ทางคือ สังฆสภา
คณะสังฆมนตรี และคณะวินัยธร
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.
๒๔๘๔ เป็นระบบที่มีผลบั่นทองประสิทธิภาพในการดำเนินกิจการคณะสงฆ์ให้ต้องประสบ
อุปสรรคและล่าช้า
มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรการปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์
ประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราช ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ
สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งไม่เกินสิบสองรูปเป็นกรรมการ
อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง
กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น